วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

อุโบสถศีล

ยอดวิหารวัดสันติอโศก
เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ได้ระดับหนึ่ง
แต่เมื่อ ๒-๓ วันที่ผ่านมา ทำให้ผู้เขียนรู้จักตัวเองมากขึ้น..
ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่า..มือไม้แข็ง คอแข็ง หลังแข็ง และใจกระด้าง  เมื่อมีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสผู้เจริญในธรรมที่"สันติอโศก" ผู้ที่มีความอ่อนน้อมทั้งในทางธรรมและทางโลกโดยไม่เลือกเขา เลือกใคร เลือกอาวุโสแต่อย่างใด

ผู้เขียนเคยเข้าไปเยี่ยมชมและสัมผัสวัดป่ากลางกรุงที่สันติอโศก เคยได้สัมผัสความรู้สึกเย็นในและเย็นนอก หมายถึงความสงบและร่มเย็นในใจและสัมผัสความสงบร่มเย็นที่สัมผิวกาย 
เคยถอดรองเท้าย่ำเดินบนผืนดินอย่างเช่นชาวสันติอโศก เคยมีโอกาสได้ขึ้นไปกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ เคยคิดว่าจะกลับมาที่นี่เพื่อปฏิบัติธรรมสักครั้งหนึ่ง 

และวันนี้ผู้เขียนก็ได้กลับไปที่นั่นจริงๆ ใช้เวลาในการตัดสินใจไม่ถึง 5 นาที  ใช้เวลาอยู่ที่นั่น 2 คืน 2 วันกับกิจกรรม..อุโบสถศีล คือการถือศีล ๘

ผู้เขียนเป็นชาวพุทธที่เข้าไม่ถึงพระพุทธศาสนาที่มีพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา มีพระธรรมเป็นคำสอน มีพระสงฆ์เป็นผู้เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า

นอกจากศีล ๕ ง่ายๆ พื้นฐานของชาวพุทธซึ่งไม่เคยปฏิบัติได้ครบถ้วนในบางคราวแล้ว การทำสมาธิ หรือทำบุญเพื่อจะเอาบุญก็ยังไม่สามารถเข้าใจให้ลึกซึ้งได้

พระโพธิรักษ์และท่านจันทร์

ผู้เขียนเพียงแต่โชคดี มีท่านติช นัช ฮันห์ และท่านพุทธทาส ปราชญ์ในทางพุทธนำทางเข้าสู่ความรู้ ความเข้าใจทีละเล็กที่ละน้อยด้วยภาษาเขียนและหลักในการเผยแพร่พุทธศาสนาที่แยบยล

อุโบสถศีล สำหรับคนไกลวัดอย่างผู้เขียนจึงไม่ค่อยคุ้นเคยกันเท่าใดนัก
แต่เมื่อตั้งใจเดินหน้าเข้าหาความสงบและฝึกอบรมจิตให้อยู่เป็นที่เป็นทางแล้ว จึงทำใจยอมรับให้ได้กับทุกๆสถานการณ์ในที่ๆเราไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยคิด ไม่เคยทำในชีวิตประจำวัน

อุโบสถศีล คืออะไร? ตีสามครึ่งของเช้าวันแรกของการเข้าอุโบสถศีล ท่านสมณะเล่าว่าสมัยเก่า ผู้ที่เข้าอุโบสถศีลคือผู้เฒ่าผุ้แก่วัยใกล้ตะวันตกดิน นั่งเคี้ยวหมากปากแดงๆ แต่สมัยนี้มีวัยหนุ่มวัยสาวเข้าอุโบสถศีล นับเป็นเรื่องดี ผู้เขียนก็สงสัยยิ่งนักทำไมต้องเป็นวัยใกล้ตะวันตกดินด้วยนะ?

อุโบสถศีล หรือศีลอุโบสถ คือ ศีลที่ขัดเกลากิเลสได้ยิ่งกว่าศีล ๕  คฤหัสถ์ชาย หญิง ควรรักษาในวันอุโบสถ ซึ่งปัจจุบันเหลือวันรักษาอุโบสถศีลเพียงเดือนละ ๔ วันคือวันพระเท่านั้นแต่บางท่านอาจปฏิบัติได้มากกว่านั้น

ขอบคุณภาพจาก คุณ Phannee Srisavas
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=345860758808643&set=o.219322414816172&type=1&theater

อุโบสถศีลตามแนวอรรถกถาราชสูตร อังคุดตรนิกายตักนิบาต มี ๓ อย่าง

๑.ปกติอุโบสถ คือรักษาศีลที่กำหนดเอาวันพระ ทั้งข้างขึ้น ข้างแรม เดือนละ ๔ ครั้ง 

หลังจากออกศีลมาแล้ว ผู้เขียนยังอินกับความรู้สึกดี ๆ มีโอกาสได้สัมผัสการรู้เท่าทันจิตของตัวเองเกือบทุกขณะจิต..จึงตั้งใจว่า ทุกวันพระผู้เขียนขอรักษาอุโบสถศีลให้เป็นปกติ

๒.ปฏิชาครอุโบสถ อุโบสถที่รักษากันครั้งละ ๓ วัน คือกำหนดเอาวันอุโบสถเป็นหลัก(วันพระ)และเพิ่มก่อนกำหนดหนึ่งวันเรียกว่า วันรับ และหลังวันกำหนดอีก ๑ วันเรียก วันส่ง 

๓.ปาฏิหาริยปักขอุโบสถ คืออุโบสถที่รักษากันเป็นประจำทุกวันตลอดพรรษา(๓ เดือน) ถ้าไม่สามารถทำได้ก็รักษาให้ตลอด ๑ เดือนหลังออกพรรษาแล้ว ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ ตั้งแต่ ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ ถ้ายังไม่อาจรักษาได้อีก ก็รักษาเพียงครั้งละครึ่งเดือน หลังออกพรรษาแล้วคือ แรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ถึงสิ้นเดือน ๑๑ 

ศีลอุโบสถ เป็นศีลรวมหรือศีลพวง คือ มีองค์ประกอบ ๘ องค์ ถ้าขาดองค์ใดองค์หนึ่งก็ไม่เรียกว่าศีลอุโบสถ เพราะฉะนั้นการล่วงศีลอุโบสถเพียงข้อเดียวก็ถือว่าขาดศีล ดังนั้นผู้ถือศีลอุโบสถ ต้องสำรวม กาย วาจาและใจอย่างเคร่งครัด

อุโบสถศีล ประกอบด้วยองค์ ๘ ดังนี้
๑.ปาณาติปาตา เวรมณี งดเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป
๒.อทินนาทานา เวรมณี งดเว้นจากการเอาของที่เจ้าของมิได้ให้ไป
๓.อพรหมจริยา เวรมณี งดเว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์
(ข้อแตกต่างจากศีล๕ ที่ว่าศีล ๕ เว้นจากการประพฤติผิดประเวณีที่มิใช่คู่ของตน ส่วนอุโบสถศีลนั้นให้งดเว้นการเสพประเวณีโดยเด็ดขาดแม้ในคู่ครองของตนเอง จึงจะชื่อว่า พรหมจริยา)
๔.มุสาวาทา เวรมณี งดเว้นจากการกล่าวเท็จ
๕.สุราเมรยมัชชปมาทัฎฐานา เวรมณี งดเว้นจากการดื่มสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
๖.วิกาลโภชนา เวรมณี งดเว้นการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
(เวลาตั้งแต่อรุณขึ้นจนถึงเที่ยง เรียกว่ากาล คือเป้นเวลาบริโภคอาหาร ตั้งแต่เที่ยงแล้วจนถึงอรุณขึ้น(ของวันใหม่)เรียกว่าวิกาล  เป็นเวลาที่ต้องเว้นจากการบริโภคอาหารทุกชนิด เว้นน้ำธรรมดาและน้ำดื่ม ๘ อย่างที่พุทธานุญาตไว้
๗.นัจจคีตวาทิต วิสูกทัสสนมาลาคันธ วิเลปนธารณ มัณฑนวิ ภูสนัฎฐานา เวรมณี งดเว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการละเล่นอันเป็นข้าศึกต่อกุศล ลูบทาทัด ทรงประดับตกแต่งร่างกายด้วยระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องย้อม เครื่องทาอันเป็นฐานะแห่งการแต่งตัว
๘.อุจจสยนมหาสยนา เวรมณี งดเว้นจากการนั่ง และการนอนบนที่นอนสูงใหญ่

ครั้งแรกจริงๆ สำหรับการทำความรู้จักกับอุโบสถศีล และสะสมบุญด้วยการทำวัตรเช้า ตักบาตรในยามรุ่งอรุณรุ่งด้วยความเข้าใจอย่างถูกต้องตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า..ว่าเพื่อสืบสานพุทธศาสนาและให้เพื่อเอาออกมิใช่ให้เพื่อขอหรือรับ เอาออกคือเอาความตระหนี่ถี่เหนียวออกจากใจออกจากตัว และมิใช่เพื่อขอสิ่งใดๆจากการให้

สิ่งที่ตระหนักรู้ ตามจิตตัวเองทันและปรามใจตัวเองได้ทันก่อนคิด พูด หรือกระทำผิดคือ..ศีลนี่เอง ที่สามารถช่วยควบคุมจิตเรามิให้วิ่งวน วุ่นวาย เป็นเหตุให้ตัวเองทุกข์ เป็นเหตุให้คนอื่นพลอยทุกข์ไปกับเรา..ศีลนี่เองที่ช่วยกำจัดความหยาบของจิตใจให้ผ่อนเบา ไม่ยึดติด ไม่หลงอบายมุข  รู้จักการเสียสละ และมีเมตตาจิตต่อสิ่งมีชีวิตทั้งคนและสัตว์

ศีลช่วยผู้เขียนควบคุมและหยุดความคิดอกุศลได้หลายครั้งทีเดียว








วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555

รางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม


ขอบคุณภาพ จากข่าว Manager Online 16 Apr,2012
ประเทศไทย..โชคดีที่มีแผ่นดินและการปกครองที่เป็นเอกราชตลอดมาตั้งแต่บรรพกาล
เพราะประเทศไทยโชคดี..ที่มีในหลวง พ่อหลวง ในหลวง หรือพระเจ้าแผ่นดิน

และในขณะที่พักผ่อนอย่างสุขๆ หลับๆตื่นๆ ในช่วงเทศกาลหยุดยาวเนื่องในวันสงกรานต์ วันครอบครัว หลังจากออกไปล่องเรือ เดินเล่น ตากแดดตากลมที่เกาะเกร็ด..กลับเข้าบ้าน ไข้ขึ้นหนาวสั่นหลับสบายท่ามกลางอากาศร้อนระอุ ตื่นมาเจอภาวะ 2 อารมณ์ คือตื่นตระหนกตกใจกับข่าวแผ่นดินไหวที่ภูเก็ต เกรงว่าจะเกิดสึนามิและความสูญเสียอีกครั้ง แต่ทุกอย่างก็เงียบสงบลงเมื่อธรรมชาติสงสารมนุษย์

และข่าวที่ทำให้รู้สึกยินดีปรีดา ภาคภูมิใจ ที่ได้เกิดเป็นคนไทย และได้อาศัยอยู่ภายใต้ร่มพระบารมีขององค์พระภูมิพล.....เมื่อผู้เขียนได้รับข่าวสารจากสื่อออนไลน์..ซึ่งเชื่อว่าคนไทยย่อมรู้สึกเฉกเช่นเดียวกัน


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ สตีเฟน นอร์ตคลิฟฟ์ (Emeritus Professor Dr.Stephen Nortcliff) พร้อมคณะผู้บริหาร IUSS และผู้ที่เกี่ยวข้อง เฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม (The Humanitarian Soil Scientist) สดุดีพระเกียรติคุณ

ตามเนื้อข่าวจาก Manager Online ความว่า

วันนี้ (16 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 17.20 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯออก ณ ห้องประชุมสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ สตีเฟน นอร์ตคลิฟฟ์ (Emeritus Professor Dr.Stephen Nortcliff) กรรมการบริหารและอดีตเลขาธิการสหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ (International Union of Soil Sciences-IUSS) พร้อมคณะผู้บริหาร และผู้ที่เกี่ยวข้องเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม (The Humanitarian Soil Scientist) สดุดีพระเกียรติคุณ
       
       สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2467 เป็นสมาชิกสหภาพวิทยาศาสตร์หน่วยหนึ่งในสภาสหภาพวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติได้รับการยอมรับว่า เป็นองค์กรที่ช่วยประสานงานสำหรับองค์กรระหว่างประเทศด้านวิทยาศาสตร์ จุดประสงค์ของการก่อตั้ง เพื่อส่งเสริมการวิจัยและประยุกต์ใช้ในศาสตร์ด้านปฐพีวิทยาทุกแขนง ส่งเสริมให้มีการติดต่อประสานงานระหว่างนักวิทยาศาสตร์ในศาสตร์นี้ เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ ปัจจุบัน สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ มีสมาชิกที่สังกัดอยู่ในสมาคมของประเทศและภูมิภาคต่างๆ กว่า 86 สมาคม มีประเทศที่เป็นสมาชิก 57 ประเทศ และทุก 4 ปี จะมีการจัดการประชุมสภาโลกแห่งปฐพีวิทยา (World Congress of Soil Science) หมุนเวียนกันไปตามประเทศต่างๆ

ขอขอบคุณข่าวจาก
 http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9550000047473

ด้วยพระอัจฉริยะแห่งองค์พระมหากษัตริย์ไทยผู้ทรงงานด้วยความเพียรอุตสาหะตลอดการครองราชย์  ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกตลอดมา แล้วไฉนเลยคนไทยผู้ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากพระองค์ท่านจะไม่มีสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ มีพระมายุมั่นขวัญยืน เป็นมิ่งขวัญปวงชนชาวไทยสืบไป





       

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

ความเงียบคือความเสียใจ และอภัยหยุดใจที่รุ่มร้อน



ในบางบทตอนของช่วงเวลา ความเงียบงันของตัวเอง คือ ความเสียใจ 
ความเสียใจอาจเกิดขึ้นจาก..ผลของปัญหา ทั้งโดยตรงและทางอ้อม 

แต่ในบางบทบางตอน พูดเสียงดังฟังชัด  ทั้งที่ผู้คนรอบข้างกำลังรุ่มร้อนใจ
มิใช่กำลังซ้ำเติมความรู้สึกของใคร เพียงแต่ฉันกำลังจะบอกตัวเองว่า..
ฉันไม่เสียใจหรือหวั่นไหวในคำพูดของตัวเอง   ไม่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น 
เพราะ..ได้ทำในสิ่งที่ดีและถูกต้องที่สุด..
บางครั้งเพียงอยากสะกดจิตให้ได้คิดว่า..คุณ เขา หรือใครคนนั้น กำลังทำอะไรอยู่ ภายใต้ภาวะอารมณ์ที่กรุ่นๆ ภายใต้อารมณ์ที่มิได้กลั่นกรองความถูกต้องอย่างเป็นธรรม


หรือในบางบทตอนของชีวิต..ความเจ็บปวดในใจ
ได้กระตุ้นใจเต้นแรงกว่าปกติ
ได้กระตุ้นอารมณ์โกรธ เกลียด กระทบใจอย่างรุนแรง ไม่ต่างจากสายน้ำที่เย็นเฉียบ แต่พลังสายน้ำไหลเร็วและแรง กระทบโขดหิน กระทบสิ่งกีดขวาง บางครั้งกระชากทุกสิ่งที่ขวางทางไปอย่างรวดเร็ว บางครั้งเจอโขดหินที่แข็งแรงกว่า แรงกระท้อนกลับสาดกระเซ็นกระทบสิ่งข้างตัวโดยไม่ตั้งใจ 


ในสรรพสิ่งที่เป็น อยู่ คือ บนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรนิ่งสงบอยู่บนความเป็นธรรม 
สายลม แสงแดด หรือสายน้ำ ต่างก็มีพลังยิ่งใหญ่ ทำลายกันและกันในยามอารมณ์แปรปรวน
ฉันได้เพียงแคิดภาวนา ถ้าทุกสิ่งอยู่อย่างสงบ ไม่ร้อน ไม่หนาว อย่างเช่นพระจันทร์ 
ก้าวผ่านไปพร้อมกับเวลาโดยไม่ยี่หระกับความมืด หรือความเร่าร้อนแผดเผาของพระอาทิตย์
ความแปรปรวนทำร้ายหัวใจกันและกัน
ทั้งในใจฉัน ในใจเขา หรือในใจใครต่อใคร

ซึ่งฉันหวังใจว่าการให้อภัย..เป็นธรรมทาน..คงเป็นความเย็น ความเมตตาที่ล้นออกมาทางแววตา 
คงช่วยลด ช่วยหยุดความเร่าร้อน ของตัวเอง ของเขา ของใครต่อใคร 
ช่วยลดความเร่าร้อนของบรรยากาศ ของธรรมชาติ ของโลกลงได้ระดับหนึ่ง

"ความโกรธทำให้ปากกลายเป็นอาวุธของซาตาน 
ความเมตตา ไม่ว่าพูดดังหรือค่อยก็ได้ยินไปถึงหัวใจ."

วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2555

ค้นหาใจ ให้พบความสุข

ทุ่งโนนสน อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง จ.เพชรบูรณ์


ทุกครั้ง..ของการออกเดินทาง ของการออกท่องธรรมชาติ 
หัวใจร่าเริง ความสุขใจ ตื่นเต้น แผ่กระจายออกไปถึงคนรอบข้าง 
ให้ใครๆอยู่ใกล้ได้สัมผัสความสุขเสมอๆ

เขาหลวง จ.สุโขทัย




การเดินทางเพื่อมอบความสุขให้กับตัวเองเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง..ซึ่งบางคนอาจยังหาความสุขที่แท้จริงของตัวเองไม่เจอ จึงยังหลงอยู่ในวังวนของโลกมายา 
แต่บางคนก็ท้วงติงว่า..ก็นั่นไง คือความสุขของเขา
นั่นสิ..ฉันคงใช้ความสุขของฉันเป็นมาตรฐาน จึงคิดว่า 
ความสุขของทุกคนต้องเกิดจากความสงบในใจ
เหมือนๆกัน


ดอกไม้ป่า ไม่รู้จักนาม จากเขาหลวง จ.นครศรีธรรมราช

เคยมีคำถามจากเพื่อนๆเสมออีกเช่นกัน ทำไมต้องทรมานตัวเองด้วยการเดินบุกป่าฝ่าดงไปรอนแรมในป่ากว้าง ที่หลับที่นอนและเรื่องอาหารการกินก็แสนลำบาก 
ฉันตอบได้เพียงคำเดียวสั้นๆ ว่า..มันคือความสุข 


ฉันไม่มองหรือคิดว่ามันคือความลำบากลำบนหรือทรมานตัวเองแต่อย่างใด

และฉันได้เรียนรู้อีกอย่างว่า..การเดินทางเช่นนี้ ความอดทนที่เราต้องเผชิญหน้ากับธรรมชาติ อดทนกับระยะทางที่ยาวไกล อดทนกับสัมภาระที่แบกอยู่บนหลังระหว่างทางเดิน อดทนกับความเจ็บปวดเมื่อต้องหกขะล้ม คว่ำคะเมน หรือลืนไถลพลัดจากที่สุงลงสู่ที่ต่ำและทำได้เพียงกัดฟันอดทนกับความเจ็บปวดรอให้เวลาผ่านพ้นไปแต่ใจก็ยังสุข นอกจากนี้ฉันยังได้เรียนรู้ทำความรู้จักและทำความเข้าใจกับเพื่อนร่วมทาง 


ในบางครั้งเราต้องอดทนแต่เราไม่ลืมที่จะมีน้ำใจช่วยเหลือกันและกัน
ทั้งที่ต่างคนต่างก็ยังทุลักทุเลแทบเอาตัวไม่รอด




และฉันได้ตระหนักอีกอย่างว่า..เมื่อฉันกลับเข้ามาอยู่ในสังคมเมือง ความคิดและมุมมองคนในสังคมเปลี่ยนไปอย่างไม่รู้ตัว  มองผู้คนที่ผ่านเข้ามาและรายล้อมอยู่ด้วยการพยายามเข้าใจในตัวตนของแต่ละคน พยายามปรับตัวปรับใจให้อยู่ในองศาที่ไม่ร้อนไม่เย็นแม้ต้องเจอปัญหาและพายุอารมณ์ของผู้คนอยู่เสมอๆ



การเดินทางข้ามวันเวลา ข้ามป่าเขาและธรรมชาติ ทำให้ผ่านการเรียนรู้ วางจิต วางใจ 
อยู่บนความสุขโดยปราศจากภาพมายาหลอกตัวเองเพียงชั่วยาม 
ทำให้เข้าใจถึง..
ความสุขอย่างสงบเป็นเช่นใด


ธรรมชาติ ความเงียบสงบจึงยังเป็นเป้าหมายทุกครั้งเมื่อคิดถึงการหนีจากความวุ่นวายต่างๆจากปัญหาและสังคมที่เรายังต้องเผชิญหน้ากับมันด้วยความเจ็บปวด