วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

ทศพิธราชธรรม




          ในความวกวนของสังคม ทุกๆ สังคม ในความซับซ้อนของหมู่คน ในแต่ละกลุ่มคน 
มีอะไรมากมายให้เรียนรู้ และกลับมาทบทวน บางครั้งเสียใจ 
ลงโทษตัวเอง 

บางครั้งหลงทางโทษคนโน้น คนนี้ 

บางทีพิจารณาว่าเขาผิด 
ทั้งที่เราเองก็ผิดหลงไปพิจาณาเขาอยู่ได้

สิ่งหนึ่งที่เคยจำและนำไปเตือนสติเพื่อนร่วมงาน ที่เคยทำงานจิตอาสาด้วยกัน..เตือนสติตัวเอง เตือนสติกลุ่มของเรา ช่วยเตือนกันและกัน เพราะเราต้องการให้งานผ่านไปอย่างราบรื่นภายใต้ความถูกต้อง ซื่อตรงและเป็นธรรมกับทุกๆฝ่าย นั่นก็คือ ทศพิธราชธรรม

ทศพิธราชธรรม คือ จริยวัตร 10 ประการ ที่พระเจ้าแผ่นดินทรงประพฤติเป็นหลักธรรม ประจำพระองค์ หรือเป็นคุณธรรมประจำพระองค์ของผู้ปกครองบ้านเมืองมาสืบมาทุกกาลสมัย 
เพื่อให้เป็นไปโดยธรรมและประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชนจนเกิดความชื่นชมยินดี


 ดังที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระจริยาวัตรปฏิบัติยึดมั่นอย่างเคร่งครัดเสมอมา 

ดังปณิธานที่พระราชทานเป็นปฐมราชโองการ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ความว่า 

"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"

 ซึ่งความจริงแล้ว ทศพิธราชธรรม ไม่ได้จำเพาะเจาะจงสำหรับพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น 
บุคคลธรรมดาที่เป็นผู้บริหารระดับสูงในทุกองค์กรก็พึงใช้หลักธรรมเหล่านี้ได้เช่นกัน


ทศพิธราชธรรม
  1. ทาน หมายถึงการให้ การเสียสละ นอกจากเสียสละทรัพย์สิ่งของแล้ว ยังหมายถึงการให้น้ำใจแก่ผู้อื่นด้วย
  2. ศีล คือความประพฤติที่ดีงาม ทั้งกาย วาจา ใจ ให้ปราศจากโทษ ทั้งในการปกครอง อันได้แก่ กฎหมายและนิติราชประเพณี และในทางศาสนา
  3. บริจาค ((ปาริจจาคะ) คือการเสียสละความสุขส่วนตน เพื่อความสุขส่วนรวม
  4. ความซื่อตรง (อาชชวะ) คือ ความซื่อตรงในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง ดำรงอยู่ในสัตย์สุจริต
  5. ความอ่อนโยน (มัททวะ) คือ ความอ่อนโยน มีสัมมาคารวะต่อผู้อาวุโสและอ่อนโยนต่อบุคคลที่เสมอกันและต่ำกว่า
  6. ความเพียร (ตปะ)คือ มีความอุตสาหะในการปฏิบัติงาน โดยปราศจากความเกียจคร้าน
  7. ความไม่โกรธ(อักโกธะ) คือ ความไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏเห็นเช่น ทำร้ายผู้อื่นแม้จะลงโทษผู้ทำผิดก็ทำตามเหตุผล
  8. ความไม่เบียดเบียน (((((((((((อวิหิงสา)คือ การไม่เบียดเบียน หรือบีบคั้น ไม่ก่อทุกข์ หรือเบียดเบียนผู้อื่น
  9. ความอดทน(ขันติ) คือ การมีความอดทนต่อสิ่งทั้งปวง รักษาอาการ กาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อย
  10. ความเที่ยงธรรม (อวิโรธนะ)คือ ความหนักแน่น ถือความถูกต้องเที่ยงธรรมเป็นหลัก ไม่เอนเอียงหวั่นไหวด้วยคำพูด อารมณ์ หรือลาภสักการะใดๆ


หลักปฏิบัติทั้ง ๑๐ ประการ  อาจยุ่งยากหรือสลับซับซ้อนจนปฏิบัติไม่ได้สำหรับบางคน  

แต่ผู้คนส่วนหนึ่งในสังคมปัจจุบัน มีความแนวคิดและประพฤติ ปฏิบัติ ลึกลับซับซ้อน 
เกินกว่าจะหยั่งถึงเพียงเพื่อให้ตัวเองสมประโยชน์ มากกว่าอีกหลายร้อยเท่า

หากองค์กรใด หรือสังคมใด มีผู้บริหารทุกระดับ ประพฤติ ปฏิบัติได้ดังนี้  
คงเป็นบุญกุศลขององค์กรนั้นโดยแท้ทีเดียว..



วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556

ลมหายใจแผ่วๆ





 ฉันเดินผ่านเวลามาหลายก้าว
ฉันเดินผ่านผู้คนมามากหลาย

ฉันเดินผ่านช่วงประสบการณ์ทั้งทุกข์ สุข เจ็บปวด ร้องให้ 
หรือยิ้มทั้งน้ำตา และเสียงหัวเราะ...

บางคน มีส่วนในความเจ็บปวด บางคนมีส่วนในความรัก และความชัง 
บางคนยังผูกพันในความเป็นเพื่อน..และมิตรภาพอันงดงาม

และมันจะผ่านไปอยู่ในอดีต ฉันจะไม่ผูกใจเจ็บ..
ฉันจะลืมวันทุกข์-สุข เจ็บปวดและหวานชื่น รื่นเริงเหล่านั้น  

เพราะฉัน กำลังกระซิบบอกตัวเอง..ว่า..จะไม่ยึดติดกับวันวาน 

จะยังไม่วิตกกับวันพรุ่งนี้

 และจะอยู่กับลมหายใจแผ่วๆของตัวเอง..เพียง ณ นาทีนี้เท่านั้น

วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

กรุงชิงหรือชิงกรุง

๒-๓ ปีมาแล้วที่เรามุ่งมั่นอยู่กับกิจกรรมงานอาสาจนกระทั่งทิ้งเพื่อนๆกลุ่มก๊วนที่เคยลุยป่าด้วยกัน

ครั้งนี้หมอนิติเวชจากรพ.ศิริราชหัวหน้าแก๊งส่งข้อความว่าจะลงมาเที่ยวน้ำตกกรุงชิง และเขารามโรม นครศรีธรรมราช อยากให้ไปเจอกันบ้าง เราเช็ควันเวลาแล้ว ตัดสินใจทันที ทำงานโดยไม่ได้หยุดพักเป็นเดือนๆ เพื่อเก็บวันหยุดไว้เที่ยว

สุขสันต์วันเจอกันพวกเขายังเหมือนเดิม ไม่มีใครอ้วนหรือผอมกว่าเดิม เหมือนเวลาไม่ได้กระชากหัวใจพวกเขาให้อ่อนล้า หรือร่วงโรยลงแต่อย่างใด

จุดนัดพบของเราและเขาคือสุราษฎร์ธานี เช้าวันนั้นฝนตกฟ้าชุ่มตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการเดินทาง จุดหมายต่อไปคือกรุงชิงโฮมสเตย์แอนด์รีสอร์ท ที่ อ.นบพิตำ

หลังอาหารเช้าที่ทางโฮมสเตย์จัดเตรียมไว้ให้แล้วเตรียมใจและกายไปเดินทางไกลกัน ระยะทางไป-กลับ ราวๆ ๘ กม.ไม่มีใครวิตกเรื่องระยะทางแต่หวั่นใจว่าเราจะเจอทากมากไหม?..



การเดินป่าจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางเข้าไปด้วยทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว
การเที่ยวป่าอย่าได้ประมาท..แม้แต่เรื่องเดียว อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ

เดินไประยะหนึ่ง เจ้าหน้าที่อุทยานชี้ให้เราแวะชมต้นไม้ ที่มีลักษณะใบคล้ายปาล์ม คล้ายใบพ้อ แต่มีลำต้นเล็กและสูง ใบเป็นแฉกๆ  เรียกว่าต้นชิง  เราจึงเรียกว่าต้นไม้เจ้าถิ่น.

ชาวบ้านเรียก..กรุงชิง..มาช้านานซึ่งอาจเป็นเพราะเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีต้นชิงอยู่มากมาย อยู่ในเขตนบพิตำ อ.ท่าศาลา แต่ปัจจุบันได้ยกฐานะเป็น  อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช มีลักษณะเป็นป่ารกทึบ ที่ล้อมรอบไปด้วย เขาหลวง เขาปลายกะทูน เขาเคี่ยม เขากลม

ปี ๒๕๑๔-๒๕๑๙ เกิดสถานการณ์ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เคลื่อนไหวอย่างหนัก ปลุกระดมมวลชน โฆษณาชวนเชื่อ โจมตีเจ้าหน้าที่ ยึดอาวุธไว้ได้จำนวนมากจนกระทั่งสามารถจัดตั้งเป็น
กองทัพเข้ายึดพื้นที่บริเวณนี้ได้โดยใช้ชื่อ..กองทัพ ปลดแอก ประชาชนแห่งประเทศไทย...

ปัจจุบันยังมีหลักฐานบางอย่างหลงเหลือให้เราได้เก็บมาค้นหา ค้นคว้าข้อมูลเรื่องราวในประวัติศาสตร์เป็นเครื่องประดับปัญญา


ปี ๒๕๒๐ ทหารนาวิกโยธิน สามารถปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์และยึดค่ายกรุงชิงได้สำเร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จและทรงทราบว่าพื้นที่บริเวณนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯจัดตั้งเป็นโครงการพระราชดำริ ทรงให้สร้างทางเข้าพื้นที่และทำโครงการชลประทานเพื่อให้ราษฎรได้เข้าไปอยู่อาศัย ดังนั้นทหารนาวิกโยธินจึงต้องอยู่รักษาพื้นที่ให้ประชาชนได้ประกอบอาชีพและถอนกำลังออกจากพื้นที่เมื่อปี ๒๕๒๕




เจ้าหน้าที่เล่าว่าหากเดินต่อไปในป่าลึกราว ๓-๔ วันจะพบซากเมือง ซากตึก ซากปรักหักพังซ่อนอยู่ซึ่งแสดงให้รู้ว่า พื้นที่บริเวณนั้นเคยเป็นเมืองหรือมีความเจริญรุ่งเรืองในอดีตทำให้เรานึกถึงความเจริญในยุคสมัยศรีวิชัยนั่นเลย..จึงนึกสนุกถามน้องๆว่า..เราจะลองหาเวลาไปกันไหม?







ระหว่างทางเดิน แม้หนทางจะสะดวกสบาย เราได้พบพันธ์ไม้ใหญ่ ต้นใหญ่มากๆ หลงเหลืออยู่ในป่าแห่งนี้อย่างเช่น ต้นหลุมพอยักษ์ ดอกไม้ป่าชนิดต่างๆ เห็ดป่าซึ่งอาจมีพิษ จากการเดินป่าหลายๆครั้ง..เห็ดหลายชนิดที่เราเห็นสวยงามอาจมีพิษหากรับประทานได้คงเป็นอาหารสัตว์ไปแล้ว เพื่อนๆเดินล่วงหน้าไปเยอะแล้ว แต่เรามัวแต่แวะนั่นดูนี่ ฟังเจ้าหน้าที่อธิบายว่าอะไรเป็นอะไร ถ่ายรูปบ้างไรบ้าง







ป้ายบอกชื่อน้ำตกกรุงชิงแต่ละชั้นๆ 



ปกติบ้านเรามีใบไม้สีเขียวครึ้มทั้งป่า คงมีไม่มากที่พบใบไม้สีสวยงดงาม อย่างเช่นใบเมเปิลที่ภูกระดึง ภูหลวงหรือยอดดอยที่มีอากาศหนาว
ในป่ากรุงชิง..เราสามารถมองเห็นงดงามของใบไม้ซึ่งแตกต่างจากไม้สีเขียวโดยทั่วไปได้บ้าง


เกือบถึงจุดสุดท้ายเจ้าหน้าที่พาปีนบุกป่าไม้ไผ่ลงไปถ่ายรูป จำได้ว่าเรียกน้องๆ ผู้ชายที่เดินมาด้วยกันไม่มีใครตามลงไปสักคน 


น้ำตกกรุงชิงถ่ายจากที่สูง เดินลงไปอีกเล็กน้อยและมองกลับขึ้นมาน้ำตกแตกซ่านกระเซ็นเป็นละอองฝอยๆ สัมผัสผิวเย็นเยียบ รู้สึกสบายจนอยากนอนพักเป็นวันๆ

บ้างก็ลงเล่นน้ำสัมผัสความเย็นฉ่ำกันอย่างจริงจัง..พักผ่อนทั้งใจทั้งกายจนอิ่มอกอิ่มใจ

การเดินทางไป..เหมือนการรอคอยสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือรอคอยใครสักคน..ช่างเนิ่นนานเหลือเกิน
การเดินทางกลับ...ระยะทางเท่ากัน..รวดเร็วจนลืมเรืองราวระหว่างทาง

แต่แน่นอนไม่มีลืมความประทับใจระหว่างกัน

(น่าเสียดายล่องแก่งคลองกลายไม่มีภาพเพราะการพกพากล้องล่องแก่งเป็นอุปสรรคของความสนุก)


ขอบคุณข้อมูล..กรุงชิงจาก...
http://www.gun.in.th/2012/index.php?topic=112267.0

วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

งานอาสากับความศรัทธาในหมู่คนไม่ศรัทธา

กำลังตัดสินใจว่าระหว่างเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมานานแล้ว
และอดีตที่เพิ่งผ่านมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะเริ่มเรื่องใดก่อน


เรื่องราวเมื่อหลายๆปีมาแล้วยังคงเป็นความทรงจำที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะหลายครั้งทีเดียว

และเรื่องราวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็เป็นความทรงจำจากการเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนกับเพื่อน
พี่น้อง คอเดียวกัน อีกครั้งหลังจากห่างกับพวกเขามานานหลายปี

และหลายวันที่ผ่านมายุ่ง วุ่นวายกับงาน หวั่นไหวและว้าวุ่นกับพฤติกรรมคนจึงไม่ได้เริ่มต้นสักที

ขณะที่พิมพ์ก็ยังไม่ตัดสินใจ บ้างก็พักเปลี่ยนโหมดอารมณ์ไปดูข่าวผลการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ทั้งที่เราไม่มีสิทธิ์เลือกเขา เพราะเราเป็นคนชายขอบ ชายแดน 

ระหว่างทำงานก็หวั่นใจหลายอย่าง ถอดใจกับหลายเรื่อง 
...ความศรัทธา..ในหมู่คนขาดความศรัทธา 
กิเลสกระจายเต็มหัวใจของพวกเขา เล่นเกมต่อสู้กันในเชิงชีวิต
ใช้เล่ห์ เหลี่ยม เพทุบายเพื่อตัวเองได้มีที่ยืน

ทำให้เราขลาดที่จะต่อสู้อยู่เพียงลำพัง

แม้เบื้องหน้าจะเป็นดอกไม้สวยแต่เกสรมีพิษ
หันซ้ายพบเสือ หันขวาก็เจอปืนจ่อ
เหลียวมองหลังพบดาบคมกริบ


จิตอาสาอยู่ที่ใดก็มีความสุขที่ได้ทำ ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับที่ใดที่หนึ่งใช่ไหม?
โดยเฉพาะที่ๆมีแต่คนทำเพราะหน้าที่ หรือผลตอบแทนมากกว่าหัวใจเพื่อสาธารณะ
ทั้งยังจ้องฟัดเอ๊ยฟาดฟันเพื่อช่วงชิง..??

เมื่อเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก และทำงานอาสากับคนที่มีหัวใจอาสาจริงๆ
สัมผัสมือ สัมผัสใจกันกี่ครั้งเราก็ยังรับรู้ถึงหัวใจที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความจริงใจเสมอ
รับรอง..มันไม่ใช่ความฝัน..เมื่อคนอาสาและอาสามาพบกัน..

และตัดสินใจ(เปลี่ยนโหมดอารมณ์) ณ บัดเดี๋ยวนี้..เก็บบทความเก่าๆ ที่เคยเขียนเชิงท่องเที่ยวเคยพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เมื่อหลายปีก่อนเก็บรวบรวมไว้เป็นเรื่องราวเดียวกัน ทั้งที่บทตอนและห้วงเวลาแตกต่างกัน แต่อาจบอกเล่าเรื่องราวและสถานการณ์ในหนหลังได้อย่างชัดเจน
เริ่มจากเรื่องแรก...เดินป่าดึกดำบรรพ์ วันฝนโปรยปราย
หลังจากเขียนบทความลงบล๊อกและถูกเลือกลงหนังสือพิมพ์โดยไม่เคยคาดหวังมาก่อน 
นาทีนั้นความตื่นเต้นจุกอก ไม่ต้องอธิบายเพราะอธิบายความรู้สึกดีใจมากๆ เช่นนั้นไม่ได้

เมื่อมีเรื่องแรก แรงบันดาลใจทำให้เกิดเรื่องที่ ๒ และเรื่องที่ ๓ เรื่องที่ ๔ ความตื่นเต้นดีใจค่อยเบาลง
 เบาลงเรื่อยๆ แต่ก็ยังภูมิใจในสิ่งที่ทำแล้วมีความสุขเสมอ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เคยทำร้ายใคร มีแต่จะทำให้หลายๆคนมีความสุข และสนใจในสิ่งที่นำเสนอบ้าง

สายน้ำ สานใจกลางกรุง  เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นเพื่อน พี่น้อง ที่เคยร่วมสู้ กอดคอกันเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย ท่ามกลางเสียงระเบิด เสียงปืนและแก๊สน้ำตาเมื่อ ๗ ต.ค.๕๑

วันเสาร์ อาทิตย์ วันหยุดหรือยามว่างมักหาเรื่องออกจากที่พักไปเรื่อยเปื่อย เก็บภาพถ่ายไว้และค้นหาข้อมูล เรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องราวที่สนใจ บอกเล่าด้วยความรู้สึกของตัวเอง 
วันหนึ่ง..นัดกับพี่สาวท่านหนึ่งซึ่งรู้จักบนโลกออนไลน์..นั่งรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปลพบุรีกัน ๒ คน ไปในที่ๆไม่เคยไป โดยใช้ข้อมูลจากหนังสือนำเที่ยว ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยงๆ แต่ เรามีความสุขมาก เราเก็บเรื่องราวในประวัติศาสตร์จากโบราณสถานได้มากทีเดียว จนกระทั่งมีเรื่องที่ ๓ ราชธานี ที่ ๒ ลพบุรี

หลายๆคนอาจกลัวเพื่อนที่พบเจอกันในโลกออนไลน์ แต่สำหรับเราโลกออนไลน์ทำให้เจอเพื่อนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน จากรู้จักในนาม..ชื่อนั้น ชื่อนี้ หรือนามแฝงต่างๆ เราก็ค่อยๆ เปิดเผยตัวตนจนกระทั่งเป็นเพื่อน พี่น้อง พบปะ พูดคุยและทำงานอาสาหลายๆอย่างร่วมกัน บางคนเดินทางมาจากต่างประเทศเช่นพี่สาวท่านนี้..พี่แหม่ม กะปิสวิส อยู่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ วันหนึ่งเธอก็ส่งข้อความว่ากำลังเดินทางมาเมืองไทยวันนั้นวันนี้ อยากไปเที่ยวอุบลราชธานี เราจึงนัดหมายเพื่อนในโลกออนไลน์อีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยอุบลฯ เป็นมัคคุเทศน์กิตติมศักดิ์


เรื่องที่ ๔ ย่ำเยือนภูผาหิน เลียบเลาะริมโขง ความทรงจำที่ประทับใจริมฝั่งแม่น้ำโขง 
ทริปนี้เป็นอีกทริปหนึ่งที่จำฝังใจ ไม่ลืมไม่เลือน 
ความประทับใจในแต่ละครั้งคราวถูกถ่ายทอดออกมาเป็นบทความบ้าง บทกลอนบ้าง หรือแม้แต่บันทึกความทรงจำที่เก็บไว้เป็นความลับ
หลังจากนั้น..เราไม่ได้เขียนอีกเลยเนื่องจากระยะหลัง กระโดดลงทำงานจิตอาสาเยอะมาก วันทำงานอยู่กันดึกดื่น วันหยุดก็ร่วมทำกิจกรรม อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องเจ็บป่วยของคุณพ่อ

ผลนับคะแนนผู้ว่าฯกทม.เสร็จแล้ว ๑๐๐% ผู้ว่าฯคนเก่าจากพรรคเก่าแก่ได้กลับมาอีกสมัยทั้งที่ไม่มีผลงาน คนกรุงเทพฯคงใช้ตรรกะ..เลือกคนหรือพรรคที่ชั่วน้อยกว่า...
อุ๊บบบ..กลับเข้าโหมดการเมืองได้อย่างไร?

บางทีการไม่ผูกมัดกับองค์กร ไม่ผูกพันกับใคร เพื่อความสุขและอิสระโดยทำงานอาสาคู่กันไปไม่ต้องคอยระแวงหน้าระหวังหลัง น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ