วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

แอ่ววัด ไหว้พระ เชียงใหม่


หยุดเดินทาง รอนแรมเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนมาพักใหญ่ แม้ยังต้องไปที่นั่น ที่นี่ หรือที่โน่นบ้างในบางหน แต่ก็ไม่บ่อยเหมือนเมื่อหลายๆ ปีก่อนโน้น พอหยุดเดินทาง ดูเหมือนแทนที่จะอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข กลับกลายเป็นว่าต้องดิ้นรน เหนื่อยสุดล้ากว่าการต้องเดินทางไกลไม่หยุดหย่อนเสียอีก




ในคราวนี้ก็อีกหน การเดินทางไปรอนแรมในที่แปลกถิ่น เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดมาก่อน
 เมื่อว่าจะไป
 จะอยู่หรือต้องไป ต้องอยู่ ดูเหมือนตัวเราไม่ค่อยมีเงื่อนไขให้กับชีวิตมากมาย พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของตัวเองทุกครั้งเมื่อครบวาระในการเปลี่ยนแปลงเสมอ..ฉันชินกับความไม่อยู่กับร่องกับรอยของตัวเอง และดูเหมือนพี่น้องก็เริ่มชิน เมื่อฉันว่าฉันต้องเดินไปซ้ายหรือขวา เขาจะต้องบอกว่าก็ลองดู เผื่ออะไรๆ มันจะดีขึ้น



เชียงใหม่คือจุดหมายปลายทางในคราวนี้ เมืองที่ที่มีความงดงามในช่วงฤดูหนาว 
อากาศดี และมีเสน่ห์ของวัฒนธรรมล้านนา




ก่อนการเดินทาง แม้จะรู้สึกใจไม่ค่อยยอมรับถิ่นที่ต้องไปพักอยู่ แม้จะบอกตัวเองว่าเพียงระยะสั้นๆก็ตามที และแม้วันนี้ ใจก็ยังเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อมาถึงแล้วการต้อนรับของคนที่แวดล้อมเราอยู่..ดีเกินความคาดหวัง จึงเป็นการยอมรับให้ได้ ทั้งใจ 
จึงเป็นการปรับตัวยอมรับกับความจริงในชีวิตประจำวันมากกว่าการต่อต้านลึกๆ

วัดพระสิงห์ฯ


วันหยุด ถ้าอยู่กรุงเทพฯคงขลุกอยู่หน้าจอคอมทั้งวัน แต่ที่เชียงใหม่ เมื่อใครๆก็อยากมา เมื่อเรามีโอกาสแล้วจะปล่อยโอกาสดีๆไปใย..จึงคิดหาทางออกจากบ้านเจ้านายด้วยตัวเองและหาทางกลับเอง เพื่อทดสอบตัวเองไปด้วยในตัว ว่าการอยู่เพียงลำพัง 
การไปไหนมาไหนด้วยตัวเองในต่างถิ่นยังสามารถอยู่ไหม?

เริ่มจากการนั่งรถประจำทางจากสันกำแพง ไปลงที่กาดหลวง เพื่อต่อรถไปวัดกู่เต้า โดยการถามแม่ค้าในกาดหลวง เขาว่าวัดกู่เต้าค่อนข้างไกล รถรอบเมืองมักไม่ค่อยไป ก็จริงดังนั้น กว่าจะเรียกรถได้เกือบสิบคัน กว่าจะไปถึง ใช้เวลาเกือบชั่วโมง เพราะคนขับรถพาวนไปเวียนมาส่งคนอื่นก่อนส่งเรา รถราเชียงใหม่ก็เยอะ รถติดให้หงุดหงิดหัวใจอยู่เหมือนกัน

วัดกู่เต้า(วัดเวฬุวนาราม)




ระหว่างนั่งอยู่บนรถคันสีแดงนั้น ระหว่างทางที่ยังไม่ถึงวัด เจอแม่หญิงคนหนึ่งหน้าตาและการแต่งตัวแปลกตา เพราะเธอนุ่งซิ่น ใส่เสื้อแบบสาวไทใหญ่ ฉันจึงลองชวนเธอคุย และสังเกตุจากภาษาไทยแปร่งๆ ของเธอ ซึ่งต่างจากภาษาคำเมืองที่ฉันได้ยินบ่อยแล้วในรอบ 5 วันที่อยู่เชียงใหม่ ทำให้นึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง จึงถามว่าเป็นคนเมืองนี้หรือเปล่า..เธอว่า..เธอมาจากเชียงตอง ซึ่งเป็นเมืองๆหนึ่งในรัฐฉาน
 ของพม่า 


วัดกู่เต้าหรือวัดเวฬุวนาราม วัดเก่าแก่ ซึ่งยังมีรูปแบบสถาปัตยกรรมคล้ายหรือเหมือนพม่า หรือล้านนา เงียบ สงบกว่าที่คิด วัดเล็กๆ แทบไม่มีผู้คน เจอนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกเพียง สามคนพ่อแม่ลูก ต้นไม้ใหญ่ ร่มรื่นบดบังทัศนียภาพอันงดงามของเจดีย์และวิหาร จนยากจะถ่ายภาพมาอวดกันได้
เจดีย์ วัดกู่เต้า(วัดเวฬุวนาราม)





ใครนะว่าการเที่ยวคนเดียวอาจรู้สึกเหงา แต่ฉันสุขใจทุกครั้งเพราะไม่มีใครมากวนใจตอนตั้งสมาธิถ่ายภาพในมุมที่ชอบหรือประทับใจหรือเล็งหามุม
ที่ถูกใจ



ออกจากวัดกู่เต้า ไปวัดพระสิงห์ จะไปทางไหน ตรงไป ออกซ้ายหรือขวา จะขึ้นรถฝั่งนี้หรือฝั่งโน้น ถามทางตลอด





ความสุขของคน ความสุขของฉัน ความสุขที่ไม่ต้องหลอกใคร ไม่ต้องหลอกตัวเอง 


เป็นความรู้สึกที่น่าทึ่งเหลือเกิน ช่วงเวลาที่เดินเข้าในบริเวณวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเพราะผู้คน นักท่องเที่ยวมากมายเหลือเกิน



 แต่เมื่อเดินลึกเข้าไปภายในวัด ความจอแจและอึดอัดก็ค่อยๆคลายหายไป หลังจากขึ้นไปไหว้พระพุทธสิหิงแล้วเดินลงมา เดินเรื่อยไปผ่านเจดีย์และไหว้พระเจ้าหลวง




 ความรู้สึกหนึ่งวูบผ่านเข้ามาในใจ คือความรู้สึกสงบและเป็นสุขอย่างยิ่ง




สุขแม้อยู่ในที่ๆไม่เคยอยู่ 
สุขแม้ต้องเดินทอดน่องอยู่เพียงลำพัง
 สุขแม้ข้างกายไม่มีใครเดินเคียง
สุขได้โดยไม่ต้องปลอบใจตัวเอง..

วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2555

สวดมนต์ข้ามปี"เริ่มต้นดี ชีวิตดี"


เวลาผ่านไปอีกปีแล้ว เราก้าวผ่านเวลาไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับผู้เขียน พยายามจะนึกย้อนเวลากลับไป..ซึ่งเป็นช่วงเวลาของความผิดหวัง สูญเสีย
เศร้าและเสียใจกับหลายสิ่ง หลายอย่างในชีวิต
และพยายามสร้างสิ่งใหม่มาชดเชย หรือทดแทน แต่สุดท้ายก็ล้มคะมำ พังทะลายในเวลาถัดมา

แม้ภาพความทรงจำในบางตอน..เลือนหาย แต่ภาพบางตอนแจ่มชัดจนนึกอยากร่ำให้กับภาพเหล่านั้น
และนั่นคือภาพแห่งความทรงจำในปีที่ผ่านมา

เริ่มต้นใหม่ กับปี ศักราชใหม่ แม้ยังไม่เห็นภาพอนาคตได้อย่างชัดเจน
แต่พยายามคิดบวก เริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นดี ชีวิตดี ดังเช่น คำขวัญของโครงการสวดมนต์ข้ามปี
ที่สนามหลวง เพื่อชีวิตดี
เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่..องค์ภูมิพลอดุลยเดช พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย


ภาพวาด ชื่อ บ่อเกิดแห่งความสุข


ผู้เขียนตั้งใจว่าจะทำดังนั้น แอบชวนเพื่อน พี่น้อง 2-3 คน และสุดท้ายเหลือเรา 2 คน พี่นก อมรทิพย์ อมรรัตนานนท์ การคิดทำความดี ดูเหมือนมีมารคอยผจญอย่างใครๆว่าไว้จริงๆ ช่วงเวลากลางวันของวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ผู้เขียนรู้สึกร่างกายกำลังย่ำแย่ มีอาการปวดหัว ตัวร้อนเหมือนไข้ขึ้น นั่งไม่ไหวเลยทีเดียว อีกประมาณชั่วโมง ก็ได้เวลาออกจากบ้าน ผู้เขียนรู้สึกกังวลจะทำอย่างไรดี..นัดพี่นกไว้แล้วด้วย และเรากำลังจะไปทำความดี ทำไมเราต้องเป็นแบบนี้ จะไหวไหมนะ..??ผู้เขียนล้มตัวลงนอนขอหลับตาสักครึ่งชั่วโมง และหลังจากนั้นฮึดสู้กับตัวเอง

ในที่สุดเราก็เจอกันที่สนามหลวง เดินฝ่าผู้คนจำนวนมากมาย โดยที่ผู้เขียนรู้สึกอึดอัดมากมาย กับบรรยากาศท่ามกลางฝูงชน อาการปวดหัวยังไม่ดีขึ้น แต่ก็อดทน หลังจากไปลงทะเบียนรับหนังสือสวดมนต์แล้ว เมื่อแสงแดดเริ่มอ่อนแรง เราเริ่มเข้าไปจับจองที่นั่งในที่ๆ แดดร่มลมเย็นตั้งแต่สี่โมงเย็น ตอนนั้นผู้คนด้านในสนามหลวงยังบางตา


ความอดทนในบางสิ่งบางอย่าง..ย่อมสุดยอดเสมอ ถ้าเราตั้งใจ เราไม่รู้สึกว่าต้องอดทน เราไม่รู้สึกว่ากำลังปวดหัวหรือเบื่อหน่ายกับการรอคอยเวลาที่แสนยาวนาน



เวลาพิธีการจริงๆ เริ่มประมาณหนึ่งทุ่ม ฟังธรรมะบรรยาย สวดมนต์ช่วงที่หนึ่งผ่านไปท่ามกลางสายลมอ่อนๆ ไม่น่าเชื่อกับสายตาตัวเอง ผู้คนมาร่วมทำความดีกันมากมายจริงๆ ทั้งวัยรุ่น วัยทำงานและผู้สูงอายุ ทะยอยกันเข้ามาเรื่อยๆ ไม่มีขาดสาย พี่ปั่น ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว และ คุณมาลีวัลย์ เจมิน่า ยึดช่วงธรรมะบันเทิงด้วยเสียงเพลงธรรมะ

และการสวดมนต์ข้ามปีช่วงที่2เริ่มต้น..ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศบริเวณนั้นชั่วขณะ เสียงสวดมนต์จากวัดใกล้เคียงลอยแว่วๆมา พระสงฆ์บนเวทีเริ่มนำสวดมนต์ เสียงสวดมนต์เริ่มกึกก้อง แต่เสียงในจิตของเราเริ่มนิ่ง สงบ ไม่ได้ยินสรรพเสียงใดๆ นอกจากเสียงของตัวเอง
คือสมาธิ ความสงบ ความสุข...และจิตโล่งโปร่งสบาย..ที่สัมผัสได้จริงๆ