วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ฤดูฝนพรำ-น้ำล้น



ฤดูฝนในประเทศไทยเริ่มประมาณเดือนหกหรือประมาณกลางๆเดือนพฤษภาคมของทุกๆปี..
และฝนจะมีมากหรือน้อย มาตรงเวลาหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับธรรมชาติเป็นตัวกำหนด

ถ้าปีไหนฝนมามากน้ำนองจนกระทั่งท่วมโดยไล่ระดับลงมาจากภาคเหนือจนกระทั่งมาสิ้นสุดที่ภาคใต้ช่วงประมาณเดือน ๑๒ หรือเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ของทุกๆปี

ปีนี้ธรรมชาติคงเมตตาประชาชนชาวไทยน้อยกว่าทุกปี หรืออาจจะน้อยอกน้อยใจคนภาคกลางและคนกรุงฯจึงส่งสายน้ำมามากกระทั่งเกินความจำเป็น หรือส่งมาเพื่อชะล้างสิ่งเปรอะเปื้อน สกปรก ทั้งด้านมลภาวะเป็นพิษที่ลอยวนอยู่บนชั้นบรรยากาศ เขม่าควันไฟจากตึกรามบ้านช่องที่เพิ่งถูกเผาด้วยน้ำมือของอมนุษย์ และแม้แต่คาวเลือดที่นองผืนธรณี หรือเปล่า?

ผู้เขียนติดตามดูผู้ประสบภัย และเดือดร้อนจากภัยน้ำท่วมขังอยู่เป็นเวลา ๒-๓ เดือนด้วยความเครียด 
คนต่างจังหวัดที่ประสบภัยต้องอพยพออกจากบ้านที่อยู่อาศัยไปอยู่ตามศูนย์พักพิงต่างๆ อพยพแล้วอพยพอีกเพราะน้ำบุกรุกล้ำเข้าไปทุกที่ ขยายวงกว้างทั่วทั้งเมืองกรุงและส่วนกลางของประเทศไทย บางคนโชคร้ายถูกซ้ำเติมโดยมิจฉาชีพเข้าบ้านไปลักขโมยทรัพย์สิน มิเพียงเท่านั้นพ่อค้า แม่ค้า ผู้ทำมาค้าขาย..ไร้น้ำใจ ซ้ำเติมผู้บริโภคด้วยการตุนสินค้าจำเป็นและจำหน่ายในราคาสูงมาก ทราบจากเพื่อนๆในกรุงเทพฯว่า..ไข่ไก่เบอร์เล็ก ที่เคยขายในราคาแผงละ ประมาณ ๑๐๐-๑๕๐ บาท วันนี้ขายกันแผงละ ๒๕๐ บาทฯลฯยังมีอีกหลายๆรายการที่ถูกเล่าสู่กันฟัง..ซึ่งเรารับรู้ รับฟังด้วยความเศร้าใจ


(ขอบคุณภาพจาก..http://hilight.kapook.com/view/52961)


แต่คนไทยอีกส่วนหนึ่ง..ทุ่มเทกับการช่วยเหลือแรงกายแรงใจและบริจาคทุนทรัพย์ ที่อยู่อาศัยและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้เดือดร้อนด้วยความเสียสละ..ผู้เขียนขอชื่นชมและยกย่องหัวใจของพวกคุณ


(ขอบคุณภาพจาก http://hilight.kapook.com/view/52961)


ส่วนผู้ฉกฉวยโอกาสด้วยความเห็นแก่ตัวลักขโมยทรัพย์สินของผู้ประสบภัย และกักตุนสินค้าเพื่อขายในราคาแพงเกินควร จะไม่รู้สึกละอายต่อบาปบ้างเลยหรือไร..

ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ...นอกจากนักการเมืองแล้ว..มิจฉาชีพและพ่อค้าแม่ค้าก็ไร้คุณธรรม ไร้จริยธรรม ขาดหิริ โอตัปปะ..ทำร้ายกันแม้ในยามเดือดร้อนขนาดนี้เลยเชียวหรือ??

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ช้างกับราชประเพณีไทย


ช้าง เป็นหนึ่งในสัตว์ใหญ่และมากด้วยอำนาจของสัตว์ป่า ปัจจุบันปริมาณป่าในประเทศไทยได้ลดน้อยลง ช้างไม่มีที่อยู่อาศัย ขาดอาหาร คนล่าช้างมาเลี้ยงเพื่อฝึกใช้งานหาเลี้ยงชีพให้คนอยู่รอดแต่ไม่คำนึงถึงหัวใจของช้าง บ้างก็ใช้มันอย่างหนักและทารุณ เมื่อคนอยู่บ้านป่าไม่ได้ก็นำช้างมาอยู่ป่าคอนกรีตเดินย่ำบนถนนอันระอุด้วยความร้อน แม้ช้างตัวใหญ่เนื้อหนังมังสาสากและหนา แต่ผู้เขียนขอคิดแทนพวกมันว่า..เจ็บปวดไม่เบาทีเดียว

ตั้งแต่สมัยพุทธกาลคนผูกพันกับช้าง และเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันทั้งผูกพันโดยธรรมชาติ โดยประเพณีวัฒนธรรมเก่าแก่ และโดยความฉลาดแสนรู้ของช้างตลอดจนการฝึกช้างในศึกสงคราม
การถือกำเนิดของช้างมีที่มาหลากหลายตำราซึ่งบางตำราว่าพระจันทร์ทรงแปลงช้างเอราวัณเป็นราชรถและใช้ม้าเทียมลาก การที่พระจันทร์ทรงช้างเอราวัณเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศของพระราชาบดี ดังนั้น กษัตริย์จึงโปรดจะประทับช้างเป็นพาหนะทั้งในกองทัพและในกระบวนแห่ไปในราชพิธีต่างๆ

ในรัชกาลที่๔ แห่งราชวงศ์จักรี ช้างต้น จะหมายถึงช้างเผือกเป็นช้างสำคัญ ที่ปรากฎตามหลักตำราคชลักษณ์ซึ่งเป็นตำราเก่าแก่หลายร้อยปีที่นำมาจากอินเดียสู่ราชสำนักไทย
ประเพณีดั้งเดิมเชื่อว่าพระมหากษัตริย์องค์ใดได้พบช้างเผือกเป็นจำนวนมากแสดงว่าพระมหากษัตริย์พระองค์นั้นทรงถึงพร้อมด้วยบุญญาธิการและมีบารมีมาก

ลักษณะช้างสำคัญตามตำราคชลักษณ์ ๗ ประการ
.    ตาขาว
.    เพดานปากขาว
.    เล็บขาว
.    ขนขาว
.    พื้นหนังขาวหรือสีอ่อนๆ ออกแดงคล้ายหม้อใหม่
.    ขนหางขาว
.    อัณฑโกสีขาว หรือสีคล้ายหม้อใหม่

การจัดหาช้างเป็นงานของหลวงที่เรียกว่า..กรมช้างหรือคชบาล เพราะถือว่าช้างเป็นทรัพยากรที่สำคัญของแผ่นดิน 
เป็นยุทธปัจจัยสำคัญ
ในสมัยอยุธยานั้น ช้างผือกที่ได้รับพระราชทานนามแล้วสามารถบอกได้ว่าเป็นเพศใด ถ้าเป็นช้างพลาย ขึ้นต้นด้วยพระบรม  หรือพระยาเสวตร ส่วนในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้นช้างพลายขึ้นต้นด้วย พระเศวต และถ้าเป็นช้างพัง สมัยอยุธยา ขึ้นต้นด้วย พระเทพ และพระอินทร์ ส่วนในกรุงรัตนโกสินทร์ จะขึ้นต้นด้วยพระศร พระเทพหรือพระวิมลรัตนา และลงท้าย กิริณี

ถือกันมาแต่สมัยโบราณว่า ช้างเผือกถือว่ามีศักดิ์สูงเทียบชั้นเจ้าฟ้า และสัตว์ที่นิยมนำมาเลี้ยงคู่กับช้างเผือก มี ๒ ชนิด คือลิงเผือกและกาเผือก ถือกันว่าเป็นสัตว์คู่บุญของช้างเผือก จะช่วยป้องกันสิ่งอวมงคลที่จะมาสู่ช้างเผือกได้ และหากมีเหตุใดๆ เกิดขึ้นกับช้างเผือก จะเชื่อกันว่าเป็นลางร้าย
 
     ช้างเผือกที่ได้รับการขึ้นระวางเป็นช้างหลวงส่วนพระองค์พระมหากษัตริย์ จะเรียกกันว่าช้างต้นซึ่งสมัยก่อน ช้างต้นมี ๓ ประเภทคือ
     . ช้างศึกที่ใช้ออกรบ
     . ช้างสำคัญที่มีลักษณะเป็นมงคลตามตำราคชลักษณ์แต่ไม่สมบูรณ์ทุกส่วน
     . ช้างเผือกที่มีลักษณะถูกต้องตามตำราคชลักษณ์ทุกประการ
และจากที่ปัจจุบัน ไม่มีศึกสงคราม ทำให้ความต้องการใช้ช้างศึกเพื่อการสงครามไม่มี ช้างต้นในยุคปัจจุบัน จึงหมายถึงช้างเผือกที่มีลักษณะอันเป็นมงคลนั่นเอง

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ นี้ จวบจนถึงปัจจุบัน มีการพบช้างเผือก ๒๑ ช้าง
ปัจจุบันเหลือ ๑๑ ช้าง ดังนี้
 
(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต)

§  พระเศวตอดุลยเดชพาหน
ชื่อเต็มคือ พระเศวตอดุลยเดชพาหน ภูมิพลนวนาถบารมี ทุติยเศวตกรีกมุทพรรโณภาส บรมกมลาสนวิสุทธวงศ์ สรรพมงคลลักษณคเชนทรชาติ สยามราษฎรสวัสดิ ประสิทธิ์รัตนกุญชรนิมิตบุญญาธิการ ปรมินทรพิตรสารศักดิเลิศฟ้า เป็น ช้างพลายเผือกโท ลูกเถื่อนตระกูล "พรหมพงศ์" จำพวกอัฏทิศ ชื่อว่า กมุท คล้องได้เมื่อปี ๒๔๙๙ ที่เมือง "กระบี่"โดยมีพล..บัญญัติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานกรรมการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย มีการสมโภชช้างนี้เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.. ๒๕๐๑ และน้อมเกล้าฯ ถวายขึ้นระวางโรงช้างต้น พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๑๑ พ.. ๒๕๐๒ เริ่มยืนโรง ณ โรงช้างต้น สวนจิตรลดา ในปี ๒๕๑๙  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระเศวต อดุลยเดชพาหนฯ จากโรงช้างต้น สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต มายืนโรง ณ โรงช้างต้น วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อเดือนมีนาคม พ.. ๒๕๔๗

§  พระเศวตวรรัตนกรี
ลูกช้างบ้านของราษฎรอำเภอสันกำแพง จงหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเมื่อผ่านการพิจารณาตรวจคชลักษณ์จากผู้ชำนาญของสำนักพระราชวังแล้ว พบว่า สมบูรณ์ด้วยศุภมงคลต้องตามตำราพระคชลักษณ์ โดยอยู่ในตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวกอัฎฐคช ชื่อ "ดามพหัสดินทร์" สมควรขึ้นระวางเป็นพระยาช้างต้นตามราชประเพณี โดยช้างสำคัญนี้เกิดที่นครเชียงใหม่ ซึ่งได้ทรงสร้างพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ไว้เป็นที่ประทับ เสมอด้วยมีพระราชฐานประจำในนครนี้ ปัจจุบัน ล้มแล้

§  พระเศวตสุรคชาธาร
ลูกช้างพลายพลัดแม่ที่ราษฎรอำเภอรามัญ จังหวัดยะลา ได้นำมาเลี้ยงไว้ ก่อนจะพบว่ามีลักษณะมงคล ซึ่งเมื่อทางสำนักพระราชวังได้ตรวจสอบ พบว่าลูกช้างนั้นมีมงคลลักษณะถูกต้องตามคชลักษณศาสตร์ อยู่ในพรหมพงศ์ ตระกูลช้าง ๑๐ หมู่ ชื่อดามพหัตถีพระเศวตสุรคชาธารนับเป็นช้างต้นช้างที่สามในรัชกาลนี้ และยังเคยเป็นพระสหายของสมเด็จพระเทพฯ สมัยยังทรงพระเยาว์ เคยมีกล่าวถึงในบทพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ว่า เมื่อมีการเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปยังวังไกลกังวล หัวหิน คุณพระเศวตสุรคชาธารก็ได้โดยเสด็จฯ ด้วย ปัจจุบัน ล้มลงแล้ว

§  พระศรีเศวตศุภลักษณ์
ช้างพังเผือก ลูกเถื่อน คล้องมาได้จากจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นช้างตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวกอัฏฐคช ชื่อดามพหัสดินทร์ ปัจจุบันกรมป่าไม้เป็นผู้ดูแล

§  พระเศวตภาสุรคเชนทร์
เดิมชื่อภาศรี เป็นช้างพลายเผือก ลูกเถื่อน ของราษฎรในเขตอำเภอท่ายาง เพชรบุรี เมื่อมีการตรวจสอบพบว่ามีคชลักษณ์ถูกต้องตามตำราคชลักษณศาสตร์ อยู่ในตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวกอัฎฐคช ชื่อ "ดามพหัสดินทร์" จึงได้ขึ้นระวางสมโภชเป็นช้างสำคัญพร้อมกันทีเดียวถึง ๓ เชือก คือพร้อมกับพระบรมนขทัศ และพระเทพวัชรกิริณี ปัจจุบันอายุ ๓๐ ปี อยู่ในความดูแลของศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จังหวัดลำปาง

§  พระเศวตสุทธวิลาส
ช้างพลายเผือกลูกเถื่อน คล้องมาได้จากจังหวัดกาญจนบุรี เป็นช้างตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวกอัฏฐคช ชื่อดามพหัสดินทร์ ปัจจุบันอายุเกือบ ๓๐ ปี อยู่ในความดูแลของศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จังหวัดลำปาง

§  พระเทพวัชรกิริณี
เดิมชื่อพังขวัญตา เป็นลูกช้างหลงโขลง ชาวบ้านที่ไปตัดไม้ในเขตหัวหินไปพบเข้า จึงจับมาส่งให้กำนันตำบลเขาย้อย ก่อนจะนำไปถวายวัดและเลี้ยงมาคู่กันกับพลายดาวรุ่ง ต่อมาเมื่อมีการตรวจสอบพบว่า พังขวัญตาเป็นช้างสำคัญมีมงคลคชลักษณ์ถูกต้องตามตำราคชลักษณศาสตร์ อยู่ในตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวกอัฎฐคช ชื่อดามพหัสดินทร์ ซึ่งตำราระบุว่าสมควรขึ้นระวางสมโภชเป็นพระราชพาหนะ เพื่อความเป็นสิริมงคลของประเทศชาติ

§  พระวิมลรัตนกิริณี
ช้างพังเผือก ลูกเถื่อน คล้องมาจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นช้างตระกูลพรหมพงศ์ จำพวกอัฏฐทิศ ชื่อกมุท อายุ ๒๙ ปี ปัจจุบันอยู่ที่โรงช้างต้น พระราชวังภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร


§  พระศรีนรารัฐราชกิริณี
ช้างพังเผือก ลูกเถื่อน คล้องได้จากจังหวัดนราธิวาส พลัดกับแม่บนเทือกเขากือชา เป็นช้างตระกูลพรหมพงศ์ พวกอัฏฐทิศ ชื่ออัญชัน อายุ ๒๙ ปี ปัจจุบันอยู่ที่โรงช้างต้น พระราชวังภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร

§  พระบรมนขทัศ
เดิมชื่อพลายดาวรุ่ง พบโดยราษฎรที่อำเภอปราณบุรี มีลักษณะพิเศษคือเล็บครบ เมื่อสำนักพระราชวังส่งผู้ชำนาญไปตรวจคชลักษณ์ พบว่า พลายดาวรุ่งเป็นช้างสำคัญที่หาได้ยาก เกิดในตระกูล "วิษณุพงศ์" จำพวก "อัฎฐคช" ชื่อ "ครบกระจอก" ซึ่งตำราคชลักษณศาสตร์นิยมว่า อุบัติมาเพื่อบุญญาธิการของพระมหากษัตริยาธิราช ควรแก่การสมโภชขึ้นเป็นพระราชพาหนะ จะบังเกิดสวัสดิมงคลแก่ประชาราษฎร์

ปัจจุบันสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป พื้นที่ป่าลดน้อยลง ช้างเผือกหาได้ยากยิ่งนัก แต่ความสำคัญของช้างเผือกมิได้ลดน้อยลง ดังนั้นเมื่อพบช้างสำคัญเข้าสู่พระบรมโพธิสมภารประชาราษฎร์ก็แซ่ซ้องสรรเสริญด้วยความโสมนัสยินดีและน้อมนำให้มีการประกอบพระราชพิธีและขึ้นระวางสมโภชเป็นพระยาช้างต้นอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา

ถ้าเพียงคนไทยรักษาป่า รักษาสัตว์ ช่วยกันอนุรักษ์สิ่งมีค่า ทรัพยากรอันล้ำค่าของคนไทยไว้ ย่อมเป็นการรักษาทุกสรรพสิ่งในแผ่นดินทองนี้ไว้ชั่วลูกชั่วหลานทีเดียว

ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ
ช้างราชพาหนะ ในโครงการสืบสานมรดกวัฒนธรรมไทย
และ
ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ป่าให้ชีวิต



พระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินานาถ
พระราชทานแก่ราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า
บ้านสร้างถ่อน้อย ตำบลสร้างถ่อนอก อำเภอตัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ
เมื่อ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๘

 
ข้าพเจ้าถือว่าวันนี้ เป็นวันที่เป็นมิ่งมหามงคล ที่ประเทศไทยได้มีประชาชน

เป็นจำนวนมากที่อาสา ที่จะปกป้องรักษาป่า ในผืนแผ่นดินเรา
อันที่จริงการปฎิญาณรักษาป่านี้ เป็นประโยชน์แก่พวกเราทุกๆ คน และลูกหลานของเราในอนาคต เพราะเมืองไทย ไม่มีแหล่งน้ำจืดที่ไหนเลย นอกจากป่า ป่าเป็นแหล่งน้ำจืด
ป่าเป็นที่เก็บขังน้ำบริสุทธิ์ สำหรับพวกเราได้ทำมาหากิน ได้บริโภค เผื่อว่าผืนดินของเรานี้ จะได้เป็นผืนดินที่เป็นประโยชน์ ให้ชีวิตของพวกเราอย่างแท้จริง ที่เราเป็นนักเกษตรกรรม, กสิกรรม ถ้าขาดต้นไม้ ขาดป่า เราก็ขาดความชุ่มชื้น
ความชุ่มชื้นนี้หมายถึง ฝนตกต้องตามฤดูกาล ต้นไม้นี้เป็นของมีประโยชน์มาก
เขาจะระเหยความชุ่มชื้น ขึ้นไปบนท้องฟ้าไปผสมกับ ส่วนประกอบในท้องฟ้า ทำให้มีฝนตกต้องตามฤดูกาล และเมื่อฝนฟ้าตกลงมาเขา ก็จะเก็บน้ำไว้ที่ตัวต้นไม้ และก็ในรากทำให้เกิดน้ำใต้ดิน ที่สมบูรณ์ อย่างที่เวลาเราขุดน้ำ ที่ผืนดินเราก็จะได้น้ำ อย่างสมบูรณ์
แม้ว่าฝนจะแล้ง ไปชั่วระยะหนึ่ง
เพราะฉนั้นข้าพเจ้าถือว่า เป็นนิมิตรหมายที่ คนไทยตื่นตัวรู้จักว่าน้ำ
เป็นส่วนสำคัญในโลก อันที่จริงแล้ว นักวิชาการทั่วโลกพูดว่า น้ำนี้เป็นของจำกัดในโลกนี้ ไม่ว่าประเทศใดทั้งนั้น และต้นไม้นี้เอง เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้แผ่นดินชุ่มชื้น และก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ฝนฟ้าตก เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลาย คงจะได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่จะพูดว่า
สมัยนี้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทำให้การเพาะปลูกลำบาก
ประเทศไทยเรามีชื่อเสียงมานาน ในฐานะที่ว่า เป็นประเทศที่สามารถ ผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหาร เลี้ยงตนเอง เรามีข้าวบริโภค เรามีอาหารต่างๆ เลี้ยงตัวเอง ซึ่งข้าพเจ้าอยากให้ท่าน ทั้งหลายทราบว่า ความสำเร็จอันนี้ ไม่ใช่ของง่าย เดี๋ยวนี้ทั่วโลกหลายประเทศ หยุดการเป็นประเทศ ที่ผลิตอาหารเลี้ยงตัวเอง ต้องสั่งซื้อ ต้องนำมาจากประเทศต่างๆ ซึ่ง ทำให้การตัดสินใน ของประเทศนั้นๆ
ไม่เป็นอิสระเสรีภาพเท่าที่ควร
เพราะฉนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ถือว่าวันนี้เป็นวันที่นิมิตรดี ท่านทั้งหลาย ราษฎรของประเทศไทย ลุกขึ้นมาร่วมกัน รักษาทรัพยากรที่หายาก ที่สุดในโลก และ ไม่มีวันที่จะเพิ่มขึ้นในโลกนี้คือ น้ำ น้ำที่เป็นสายธารแห่งชีวิต น้ำที่เป็นผู้ชุบชีวิตเราตั้งแต่ก่อนเราเกิด เวลาที่เราอยู่ในท้องแม่ เราต้องลอยอยู่ในน้ำ เพื่อป้องกันการกระทบกระเทือน ที่จะเกิดมีแก่ชีวิตของพวกเรา ที่ยังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่ เพราะฉนั้น ในการที่ท่านมีความปราถนาดี ที่จะพิทักษ์ทรัพยากรที่สำคัญ ที่สุดของชีวิตมนุษย์
ข้าพเจ้าขออวยพร ให้ท่านทั้งหลาย ประสบความสำเร็จ สมดั่งประสงค์ทุกประการ ซึ่งความสำเร็จของท่าน หมายถึง ความสำเร็จของประเทศไทย และคนไทยในอนาคตนั่นเอง ซึ่งบัดนี้คนทั้งหลาย ไม่ทราบว่าที่เราตัดป่า เราทำลายแหล่งชีวิตของเรา

ข้าพเจ้าจึงเลือกคำว่า "พิทักษ์ป่า เพื่อรักษาชีวิต"
 

ป่า ภูเขา ยิ่งลึกยิ่งดูน่ากลัว แต่สำหรับผู้เขียนยิ่งลึกยิ่งรู้สึกป่ามีเสน่ห์กว่าเมืองมากมายนัก
ต้นไม้ใหญ่เล็ก เถาวัลย์ที่เลื้อยเลาะเกาะอาศัยต้นไม้ใหญ่มีความสดชื่นอยู่ตลอดเวลา
ดอกไม้ป่า..กลายเป็นความสวยงามที่คนเมืองพยายามไปลักขโมยมาจากเจ้าป่าเจ้าเขามาปลูกประดับในป่าคอนกรีต ซึ่งผู้เขียนไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนคนจำพวกนี้ 

นายทุน นักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าฯของแผ่นดินผู้ฉกฉวยผลประโยชน์จากป่าเขาเพื่อตนเองมีมากและถูกปล่อยปละละเลยให้มีการตัดไม้ทำลายป่ากันอย่างโจ่งแจ้ง

ณ วันนี้ป่ากำลังจะหมด สัตว์ป่าใหญ่น้อยไม่มีทีอยู่อาศัย
ทุกครั้งที่ผู้เขียนพบเห็นช้างเร่ร่อน ผู้เขียนร้สึกเศร้าใจและเจ็บปวดแทนพวกมัน
ภูเขาหิน ภูเขาดินถูกสัมปทานทำลายเพื่อใช้ดิน ใช้หิน ในธุรกิจของตนเอง

พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพะเจ้าอยูหัวฯและพระนางเจ้าสิริกิต์
ดูเหมือนจะไม่มีใครจำและทำอย่างที่พ่อและแม่ของแผ่นดินสอนไว้

ทุกวันนี้ประเทศไทย.แผ่นดินทองที่คนไทยทั้งชาติเคยภาคภูมิใจในความอุดมสมบูรณ์ต้องประสบกับปัญหาภัยธรรมชาติทั้งภัยแล้ง และน้ำท่วมอย่างรุนแรงแบบทีไม่เคยเจอมาก่อน
ซึ่งบ้างก็ว่าเพราะความแปรปรวนของธรรมชาติ
บ้างก็ว่าธรรมชาติเอาคืนหลังจากมนุษย์เอาจากธรรมชาติมามากแล้ว
บ้างก็ว่า..เวรกรรมของคนคิดร้ายต่อแผ่นดินสยาม

จะเพราะอะไรก็ตามแต่...เพียงขอให้ทุกคน..หยุดเห็นแก่ตัวกันเสียที
หยุดกอบโกยธรรมชาติ ทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของคนไทยกันได้แล้ว

ป่ามี ป่ามาก ทุกชีวิต ทั้งคนและสัตว์ป่า ยังอยู่ได้
ป่าหมด..ทุกชีวิต...คงหมดลมหายใจ...



ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำคือ(ส่วนเกินของ)ชีวิต


น้ำท่วมภาคกลางมาเป็นระยะเวลานานร่วมเดือน
ประชาชนต้องเดือดร้อน อพยพคน สัตว์เลี้ยงและสิ่งของออกจากบ้านที่อยู่อาศัย
ด้วยความเป็นห่วงพี่น้องคนไทยผู้เขียนติดตามข่าวจากโทรทัศน์เท่าที่มีเวลาและรู้สึกเครียด อึดอัดในใจซึ่งอยากไปมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ ณ จุดที่ต้องการบ้างแต่มิอจทำได้ในตอนนี้

 บางคนอพยพสิ่งของมีค่าที่อุตส่าห์ทำงานมาทั้งชีวิตเพื่อสร้าง เพื่อมี ไม่ทัน ต้องเสียไปกับสายน้ำที่มิอาจปิดกั้นไว้ได้ บ้างก็ทำใจได้ บ้างก็ทำใจไม่ได้
บางคนบอกว่าสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตที่อยู่ในบ้านคือ ภรรยาและบุตร
เมื่อเอาพวกเขาออกมาได้ เท่ากับเขาไม่เสียอะไรเลย

ส่วนหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือเช่น ประชาชนและองค์กรต่างๆทั้งภาครัฐและหน่วยงานของเอกชนโดยเฉพาะทหาร ก็ยังคงมุ่งมั่นกับการช่วยเหลือตามจุดต่างๆ รอบๆกรุงเทพฯเพื่อสะกัดกั้นการดินทางของน้ำอย่งเต็มกำลังความสามารถทั้งยังต้องเฝ้าระวังบ้านของตัวเองไปด้วยเช่นกัน

และในขณะเดียวกันหนุ่มสาวอีกกลุ่มหนึ่งก็เช่นเดียวกัน ได้มุ่งมั่นให้ความช่วยเหลือโดยมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย หรือแม้เหนื่อย เจ็บปวดกับการออกแรงจับสิ่ง(กระสอบทราย)ที่เธอและเขาไม่เคยทำ พวกเขาก็ยังคงสนุก มีความสุขที่ได้ทำอย่างเช่นหนุ่มสาวกลุ่ม"รักพ่อภาคปฏิบัติ"  เมื่อมีเวลาก็คอยติดตามข่าวคราวการทำงานของเขา และได้เห็นความเคลื่อนไหวทุกๆวัน เขาไม่เคยหยุดพัก แทบไม่ได้หลับได้นอน พวกเขากำลังทำหน้าที่"ปกป้องศิริราช" เพราะนอกจาก "ศิริรราช" เป็นโรงพยาบาล ศิริราชยังเป็นที่ "ประทับของพ่อหลวง พ่อของปวงประชา พ่อผู้เฝ้าห่วงใยไพร่ฟ้าตลอดเวลา"


น้องหน่อยกำลังสำคัญอีกคนของกลุ่ม"รักพ่อภาคปฏิบัติ"
จุดประสงค์ของภาระกิจพิทักษ์ ศิริราช
1. เฝ้าระวังไม่ให้ผนังกั้นน้ำเกิดการเสียหาย
2. ทรัพย์สินที่ต้องเฝ้าระวังคือ เครื่องปั่นไฟ ตู้คอนโทรลไฟ เครื่องฉายรังสี เเละเครื่องมือเครื่องใช้ของโรงพยาบาลที่มีมูลค่านับพันล้าน เงินทั้งหมดมาจากภาษีของประชาชน
3. ทรัพย์สินตามข้อ 2 นั้นเมื่อเกิดการเสียหายจะมีผลต่อการดูเเลคนไข้ทันที
4. ภาระกิจที่ทำเพื่อในหลวงนี้ คือการป้องกันไม่ให้เกิดการโกลาหลในศิริราช
ยกตัวอย่างกรณีไฟดับ ไฟช๊อต
ไม่ใช่การป้องกันความปลอดภัยของพระองค์โดยตรง ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ
ขอให้ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ค่ะ
(ขอบคุณภาพคุณพินิจ อัศวานุชิต)
ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้น้องๆเพื่อนๆและทุกคนที่ร่วมด้วยกัน
น้ำในประเทศไทย ขาดความสมดุล ยามแล้งก็แล้งเหลือเกิน ยามน้ำล้นก็เกินแผ่นดินจะรับได้ทัน

พ่อหลวงทรงมีสายพระเนตรที่ยาวไกล จึงมีพระราชดำริ โครงการแก้ปัญหาน้ำและรักษาป่าเพื่อให้พสกนิกรไม่เดือดร้อนในเรื่องการอยู่และทำมาหากิน มากมายหลายโครงการ

กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศว่ามีฝนตกมากในช่วงนี้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ให้ระวังน้ำท่วม ผู้เขียนเริ่มวิตกหลังจากเห็นปรากฎการณ์น้ำที่กำลังกระจายตัวเข้าส่วนกลางของกรุงเทพฯ
และคร้งแรกที่ผู้เขียนอยู่บ้านตัวเองในช่วงฤดูฝน ได้ยินหลายๆคนที่บ้านพูดถึงเรื่องน้ำท่วมว่าได้เตรียมอาหาร และหาที่เก็บของกันแล้ว ดูพวกเขาไม่ตระหนกตกใจ เขาบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา น้ำท่วมทุกปีอยู่แล้ว จะท่วมมากท่วมน้อยเท่านั้นเอง (แต่ผู้เขียนนึกไม่ออกจริงๆว่าจะปรุงอาหารกินกันอย่างไร)

สำหรับองค์กร หรือหน่วยงานใหญ่ๆ นั้น ก็ควรที่จะคิดหาทางหาวิธีรักษาน้ำอย่างถูกวิธีและถูกจุด นั่นคือ จะต้องหาทางรักษาจุดกำเนิดของน้ำก่อนเป็นอันดับแรก คือ ให้ความสำคัญกับต้นไม้และป่าเขา เพราะหากต้นน้ำถูกทำลายลง สายธารที่เคยมีก็คงจะหดหายไปด้วย ควรหาทางหยุดยั้งการตัดไม้ทำลายป่า


ดังพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2550 ว่า
                        "... ข้าพเจ้าขอร้องเรื่องการตัดป่า ได้ขอร้องท่านนายกฯ ไปแล้วว่า มีกฎหมายใด มีวิธีใด ที่จะรักษาป่า เพราะว่า ไม้แต่ละต้น ถ้าเป็นพันธุ์ไม้ใหญ่จะเก็บน้ำจืดไว้จำนวนมากมาย และปล่อยออกมาเป็นลำธาร และปล่อยออกมาเป็นแม่น้ำ และอีกอย่างที่ข้าพเจ้าอยากจะขอร้องพวกท่าน เพราะข้าพเจ้าเป็นพระราชินีมาตั้งแต่อายุ 17 กว่าๆ ก่อน 18 ไม่กี่เดือน จนถึง 75 ยังขอร้องอะไรไม่เคยสำเร็จสักอย่าง ไม่มีผลอะไรเลย เรื่องต้นไม้เนี่ย เต้นอยู่ตลอด ก็ไม่มีผลสำเร็จ แอบตัดทางการก็ไม่มีกฎหมายอะไร หรือมาตรการที่จะดูแลรักษาป่าเพื่อเก็บน้ำจืดไว้..."

ถ้าหากทุกองค์กรและประชาชนทุกส่วนที่เกียวข้องได้ตระหนักถึงส่วนรวม
และปฎิบัติดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ทรงพระราชดำรัสด้วยความห่วงใยอย่างสม่ำเสมอแล้ว ประเทศไทยคงไม่เดือดร้อนและเสียหายเนื่องจาก

น้ำแล้งหรือน้ำเกินความจำเป็นมากมายทุกๆปีเช่นในวันนี้

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
http://www.chaipat.or.th/chaipat/index.php/th/interesting-article/328
และขอบคุณภาพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์จาก
http://mblog.manager.co.th/chaba2550/th-101920/

วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แม้เพียงผงธุลีดิน


 ในนาทีนี้ ในช่วงเวลาที่น้ำท่วมเป็นวิกฤติของคนไทย เป็นความทุกข์ เป็นความเจ็บปวดและสูญเสีย คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการ..ให้ 

ประเทศไทย ไม่เคยแล้งน้ำใจจากคนไทยด้วยกัน ในยามประสบภัยเดือดร้อนพี่น้องไทยไม่เคยทอดทิ้งกัน ให้เครื่องอุปโภคบริโภค ให้อาหาร ให้เครื่องนุ่งห่ม ให้ที่อยู่อาศัย เป็นน้ำใจเป็นน้ำทิพย์เป็นกำลังใจให้กันและกัน

ส่วนตัวคิดว่าการให้นอกจากทำให้ผู้รับ และผู้ให้ต่างก็มีความสุข..แต่ใครจะสุขมากกว่าใคร 
ขึ้นอยู่กับผู้รับและศิลปะของผู้ให้หรือเปล่า? 

ไม่ว่า..ให้เป็นสิ่งของ 
ให้..ความรัก..ให้ความเอื้ออาทร ให้..ความช่วยเหลือ 
ให้กำลังใจ..ให้โอกาส..ให้ความหวังดี..หรือให้อภัย..ฯลฯ ถ้าให้จากใจ..ให้จากหัวใจ..ให้ด้วยความจริงใจ และสัมผัสได้จากใจถึงใจ..ผู้รับย่อมมีความสุข 

และมากกว่านั้น..ผู้ให้ย่อมรู้สึกมีความสุขมากกว่า.. 

ผู้เขียนเคยจดจำเรื่องราวของพระพุทธเจ้าจากหนังสือ
พุทธประวัติ คือเมฆสีขาว ทางก้าวเก่าแก่ เล่ม 3 ตอนธุลีดินล้ำค่าหนึ่งกำมือ 

เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์เสด็จดำเนินบิณฑบาตร พร้อมกับบรรดาสาวกไปในหมู่บ้าน 
ทรงพบเด็กๆจำนวนหนึ่ง กำลังเล่นสร้างเมือง สร้างกำแพง บ้านเรือน ยุ้งฉาง ด้วยฝุ่นดิน 
เมื่อเด็กๆแลเห็นพระพุทธเจ้าและบรรดาภิกษุ กำลังผ่านมาเด็กๆบอกพรรคพวกว่า

"พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ กำลังผ่านบ้านเมืองของเรา จึงสมควรที่เราจะช่วยกันตักบาตร"

เด็กๆเห็นด้วยแต่มีคนหนึ่งท้วงขึ้นมาว่า

"เราจะเอาของอะไรใส่บาตร พระพุทธเจ้าดีล่ะ พวกเราเป็นเด็กๆทั้งนั้น" 

เด็กคนต้นคิดตอบว่า

"ฟังนะเพื่อน มีข้าวเก็บไว้ในยุ้งฉางมากมาย ในเมืองดินทรายของเรา เราสามารถนำข้าวเหล่านี้มาถวาย พระพุทธเจ้าได้"

เพื่อนๆของเด็กๆพากันปรบมือเห็นด้วยกับความคิดนี้ พวกเขาช่วยกันขุดฝุ่นดินจากยุ้งฉางมาหนึ่งกำมือ แล้วสมมติว่าเป็นข้าว นำวางลงบนใบไม้ 
เด็กคนแรกใช้สองมือประคองใบไม้ห่อมูลดินแล้วคุกเข่าลงเบื้องพระพักตร์
พระพุทธเจ้าอย่างนอบน้อม
เด็กคนอื่นๆ คุกเข่าลงข้างๆ เด็กคนแรกกล่าวว่า

"ชาวเมืองของเรา ขอน้อมถวาย ข้าวจากยุ้งฉางของเรา ขอพระองค์ทรงรับเถิด" 

พระพุทธองค์ทรงแย้มพระสรวล พลางลูบศรีษะเด็กคนนั้นและตรัสว่า 

"ขอบใจ เด็กๆทั้งหลาย ที่ได้ถวายข้าวอันล้ำค่าแก่เรา พวกหนูช่างมี น้ำใจอารีเสียเหลือเกิน" 

พระพุทธเจ้าทรงหันไปทางพระอานนท์ ตรัสว่า

"อานนท์ จงนำของถวายนี้เก็บไว้ เมื่อกลับถึงวัดแล้ว จงเอาธุลีดินนี้ผสมกับน้ำแล้วพอกดินเปียก
ลงบนอิฐดินผนังพระวิหารของเรา" .

ผู้เขียนได้แลเห็นถึงความตั้งใจ..ให้...ของเด็กๆ
พวกเขาปรารถนาที่จะให้..ด้วยหัวใจ  ทั้งๆที่ไม่มีอะไรนอกจาก ฝุ่นดินที่เล่นสร้างบ้านสร้างเมืองกันเท่านั้น..และความตั้งใจซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแลเห็น..และพระพุทธเจ้า..ทรงรับบิณฑบาตร 
ด้วยจิตเมตตาทั้งที่..สิ่งที่เด็กๆน้อมถวายเป็นเพียงผงธุลีและไม่เพียงเท่านั้น..ท่านยังตรัสกับพระอานนท์ให้เก็บผงธุลี กลับไปผสมกับน้ำเพื่อสร้างผนังวิหาร..

พระพุทธองค์ทรงให้ค่า ให้ความหมายและความสำคัญของผงธุลีดิน..มากมายปานนั้น 
และย้อนกลับมาคิดถึงความรู้สึกของเด็กๆเถิด..จะรู้สึกมีความสุข ปลื้มปิติมากเพียงใด 

แม้เพียงผงธุลีดิน..แต่เมื่อผู้รับให้ค่าและความหมายกับสิ่งนั้นๆ 
ผู้ให้..ย่อมรู้สึกมีความสุขใจมากกว่า..แม้การให้ไม่ได้หวังผล ตอบแทนใดๆ ก็ตามที

และเราเอง หรือคุณ หรือใครๆได้ให้ค่าและความหมายกับสิ่งเล็กสิ่งน้อย 
หรือแม้เพียงความช่วยเหลือจากใครสักคนในบางเรื่องราว ในบางเวลา 
หรือการให้กำลังใจเพียงคำพูดไม่กี่คำ ให้โอกาสและเวลา 
ให้ความห่วงใย..หรือให้อภัยในคราวที่เราผิดพลาด 

จากใครๆ รอบข้างทั้งที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย ทั้งคนใกล้ชิด 
หรือคนห่างๆ ใจ ทั้งคนที่ชอบ..และคนที่เราไม่ชอบใจ 
กันบ้างไหม?.. 

แม้เพียงผงธุลีดิน..ก็มีค่าและความหมายทั้ง..ในใจผู้ให้และผู้รับ

ขอบคุณ...ภาพจากอินเตอร์เน็ต
เรื่องราว...warintirak ดัดแปลง แก้ไขจากบทความเดิม Mblog
เรื่องราวอ้างอิง...พุทธประวัติ คือเมฆสีขาว ทางก้าวเก่าแก่ เล่ม 3 ตอนธุลีดินล้ำค่าหนึ่งกำมือ
แปลโดย..คุณ รสนา โตสิตระกูล และ คุณสันติสุข  โสภณสิริ

ตำรวจไทย ข้าฯของแผ่นดิน

ตำรวจไทยในสายตาของผู้เขียนในอดีตเคยเป็นความว่างเปล่า เพราะไม่เคยสัมผัสโดยตรง ไม่เคยรู้เห็นพฤติกรรมทั้งด้านดีและด้านเสีย นอกจากภาพของผู้รักษากฎหมายจับกุมผู้กระทำความผิด บ้างก็ว่าผิดจริง บ้างก็ว่าถูกยัดข้อหา ซึ่งผู้เขียนไม่ทราบว่าระหว่างตำรวจหรือผู้ถูกจับกุมใครพูดจริงและใครเท็จ..จึงกลายเป็นความว่างเปล่า


กระทั่งเมื่อผู้เขียนได้สัมผัสตรง ได้รู้และเห็นเพราะอยู่ในสถานการณ์เมื่อคราว ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ ตำรวจทำร้ายประชาชน โดยไม่มีความโกรธแค้นกันมาก่อน คราวนั้นผู้เขียนไม่เพียงแต่โกรธตำรวจเท่านั้นแต่เกลียดกันเลยทีเดียว ซึ่งไม่ได้หมายความว่าผู้เขียนเกลียดตำรวจทั้งหมด ถ้าคนใด ท่านใดมีความดีอยู่อย่างเสมอต้นเสมอปลายและได้สัมผัสว่าเป็นเช่นนั้นจริงก็ยังยินดีจะชื่นชมความดีในตัวคนๆนั้น

เมื่อวันสองวันที่ผ่านมาผู้เขียนมีความจำเป็นต้องไปติดต่อเจ้าหน้าที่สถานีตำรวจภูธรหนองจิก ปัตตานี ช่วงเวลาที่ผู้เขียนไปถึงอีกไม่กี่นาทีเที่ยง ก็ทำใจอยู่ระดับหนึ่งว่าอาจต้องรอถึงบ่ายโมง เมื่อผู้เขียนไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจโผล่หน้ามาจากในห้องต่างๆทักทายด้วยอัธยาศัยดีๆและพูดเหมือนๆกันว่าติดเที่ยงพอดีรอนิดหนึ่งนะครับ ผ่านไปคนแล้วคนเล่า 

จนกระทั่งตำรวจนายหนึ่งใส่ชุดสีกากีทะมัดแมงแตกต่างจากตำรวจประจำสถานีตำรวจโดยทั่วไปเข้ามาทักทายและสอบถาม ผู้เขียนก็ได้บอกเล่าถึงจุดประสงค์ เขาก็ถามว่าเจอใครหรือยัง ก็ตอบว่ายัง คงมาติดเที่ยง ไม่มีใครอยู่แล้ว นายตำรวจท่านนี้ร้อง..อื๊อ..ไม่เกี่ยวกัน ข้าราชการไม่มีเวลาพัก 
คราวนี้ผู้เขียนเริ่มสำรวจว่าเขาเป็นใคร มียศตำแหน่งหรือดาวกี่ดวง แหม..พูดได้ถูกใจจัง                         แต่ไม่มีอะไรบอกผู้เขียนเลยนอกจากป้ายชื่อหน้าอกและป้ายบอกสังกัดว่าตำรวจตระเวณชายแดนแดนตรงแขนด้านขวา(หรือเปล่าจำไม่ได้)และขออภัยอีกครั้ง..จำชื่อท่านไม่ได้จริงๆ จำได้ว่านามสกุล..พวงน้อย เท่านั้นจริงๆ 
นายตำรวจท่านนี้นำเอาเอกสารจากเราไปเดินหาเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานตามห้องต่างๆ ไม่พบเขาและเดินออกมาบอกว่าหาเขาไม่เจอจริงๆ และในขณะเดียวกันท่านหันไปเห็นนายตำรวจผู้รับผิดชอบงานนั่งอยู่ไม่ไกลและสามารถมองเห็นกันจากจุดที่เรานั่งรออยู่ เขาจึงเรียกเราเดินตามไปหาและสั่งนายตำรวจคนนั้นว่า
จัดการให้หน่อย เพียงเล็กน้อยเท่านั้น รีบจัดการให้เดี๋ยวนี้เลย และก็หันมาบอกลาก่อนกลับเข้าห้องทำงานไปอย่างรวดเร็ว โดยผู้เขียนมองตามไม่ทัน
ตำรวจเจ้าของงานรีบจัดการสั่งงานงานผ่านผู้ใต้บังคับบัญชาให้ผู้เขียนในทันที ดังนั้นไม่ทันจะบ่ายงานของผู้เขียนเรียบร้อยโดยข้าราชการ ข้าของแผ่นดินตัวจริง เสียงจริง มิใช่มานั่งเสวนาฆ่าเวลารับเงินของแผ่นดินโดยไม่ละอาย แต่ไม่เท่านั้นในขณะที่ผู้เขียนมานั่งรอรับเอกสารคืนผู้เขียนเห็นและได้ยินประชาชนเข้ามาขอพบนายตำรวจคนเดียวกันกับที่ผู้เขียนมาติดต่อด้วยเรื่องอะไรไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่ได้ยินนายตำรวจคนนั้นบอกกับประชาชนว่า..รอก่อนนะขอไปกินข้าวก่อน ยังไม่กินข้าวเลย ฉันกับน้องสาวมองหน้ากันและส่ายหน้าพร้อมกันโดยมิต้องพูดอะไร!!

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงงานโดยมิเคยพักแม้ว่าพระองค์ท่านทรงพระประชวร

ในบทบาทของตำรวจที่ต้องทำงานเพื่อบำบัดทุกข์ให้ประชาชนท่านได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดหรือยัง?

แต่อย่างน้อยตำรวจในสายตาของผู้เขียนก็ยังมีตำรวจน้ำดี คนดี ที่ทำงานสมกับเป็นข้าราชการหรือข้าของแผ่นดิน ข้ารองบาทของในหลวงได้อย่างน่าภูมิใจดังเช่น..
นายตำรวจตระเวนชายแดนที่ผู้เขียนได้เจอในวันนี้

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สายฝนหรือน้ำมนต์รดกระหม่อมข้ารองบาท



ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นหนึ่งในกลุ่มกิจกรรมรักพ่อภาคปฏิบัติ ร่วมงานกันมาตั้งแต่กิจกรรมเรื่องปัญหาชายแดนเขมร จนมาถึงเรื่องความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งเป็นแนวทางของเราทุกคน ที่ได้ปฏิญาณตนต่อองค์บุรพกษัตริย์ว่าเราจะทำหน้าที่เพื่อชาติ ศาสน์และกษัตริย์ด้วยความจงรักภักดี

การทำงานของเราผ่านอุปสรรค ปัญหา ความขัดแย้งทั้งภายในและจากบุคคลภายนอกมากมาย แต่เราก็ผ่านปัญหาเหล่านั้นมาด้วยความอดทน อดกลั้น ด้วยความมุ่งมั่น ด้วยความเข้าใจปัญหาและเข้าใจคน ด้วยความรักและประคับประคองกอดคอกันและกันก้าวผ่านมาได้ เพราะเราทุกคนตระหนักเสมอว่าเรากำลังทำเพื่อส่วนรวม ด้วยความภาคภูมิใจ และความศรัทธาในสิ่งที่กำลังกระทำและด้วยความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย 



เราทุ่มเททั้งแรงกายและกำลังใจ ทั้งสละความสุข เวลาพักผ่อนเพื่อทำงานให้ลุล่วงผ่านไปด้วยดี เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ต้องการให้สิ่งดีๆที่ได้ทำไปแล้วสูญเปล่า 

การสูญเปล่าไม่ได้หมายความเราต้องการผลตอบแทนเป็นผลประโยชน์

แต่เราต้องการเห็นคนไทย..ร่วมกันออกมาแสดงความรัก และจงรักภักดีเป็นรูปธรรม มากๆและมากขึ้นเรื่อยๆ ทำอยู่เสมอ ทำต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุด ไม่ทำเฉพาะวันใดวันหนึ่ง ไม่ทำแค่วันของพ่อ(๕ ธันวาคม ๒๕๕๔)

ผู้เขียนเชื่อในสิ่งที่กำลังกระทำ ศรัทธาในสิ่งที่กำลังปฏิบัติ หลายๆครั้งที่เราไปปฏิบัติการรักพ่อที่ศิริราช เจอวันที่ท้องฟ้ามืดมัว เม็ดฝนกำลังเดินทาง เรามองท้องฟ้าด้วยความวิตกหวั่นใจว่าภารกิจเราจะทันเสร็จสิ้นหรือไม่ 
และวันนี้ก็อีกเช่นกัน(อาทิตย์ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๔)ได้แต่แหงนหน้ามองฟ้าภาวนาต่อองค์พระอินทร์ที่อยู่บนฟ้าขออย่าเพิ่งปล่อยน้ำฝนหล่นมาตอนนี้ และเหมือนฟ้ามีตา เทวดามีหู ความมืดมิดบนฟ้าค่อยๆคลายจางหายไป เม็ดฝนที่พรำลงมาก็เพียงบางเบาเหมือนน้ำมนต์ 
จนกระทั่งเมื่อปฏิบัติการของเราจบลง สายฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างหนัก

ดังนั้นผู้เขียนจึงเชื่อมั่นและศรัทธาในสิ่งดีๆที่เราร่วมรวมใจกัน เชื่อในความบริสุทธิ์ใจของทุกคน
และพร้อมน้อมถวายความจงรักภักดี แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ 
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

ผู้เขียนจึงยังยึดมั่นในคำปฏิญาณตนต่อองค์พระนเรศวรและองค์พระภูมิพลต่อไป