วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

พระราชดำรัสเกี่ยวกับน้ำ



เนื่องในวโรกาส วันพ่อแห่งชาติ วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔
ผู้เขียนแผ่นดินนี้เราจองขอร่วมเผยแพร่พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพแด่องค์ภูมิพล อดุลยเดช



พระราชปณิธานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์บรมราชินีนาถฯ
พระเจ้าอยู่หัวฯเป็นน้ำฉันจะเป็นป่า 
ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำ 
              พระเจ้าอยู่หัวสร้างอ่างเก็บน้ำ    ฉันจะสร้างป่า
**************************************************************

“... วันนี้ก็ขอพูดขออนุญาตที่จะพูด เพราะว่าอั้นมาหลายปีแล้ว เคยพูดมาหลาย ปีแล้ว ในวิธีที่จะปฏิบัติเพื่อที่จะให้มีทรัพยากรน้ำเพียงพอและเหมาะสม คำว่า “พอเพียง” ก็หมายความว่า ให้มีพอในการบริโภคในการใช้ ทั้งในด้านการบริโภคในบ้าน ทั้งในการใช้ เพื่อการเกษตรกรรม อุตสาหกรรมต้องมีพอ ถ้าไม่มีทุกสิ่งทุกอย่างก็ชะงักลง แล้วทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เราภาคภูมิใจ ว่าประเทศเราก้าวหน้าเจริญก็ชะงัก ไม่มีทางที่จะมีความเจริญ ถ้าไม่มีน้ำ ...
...โครงการที่คิดจะทำนี้ บอกได้้ว่าไม่กล้าพูดมาหลายปีแล้ว เพราะเกรงว่าจะมี การคัดค้านจากผู้เชี่ยวชาญ ทั้งเหล่านักต่อต้านโครงการ แต่โครงการนี้ เป็นโครงการอยู่ใน วิสัยที่จะทำได้ ไมจะต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่น้อย แต่ถ้าดำเนินไปเดี๋ยวนี้ อีก ๕-๖ ปีข้างหน้า เราสบาย และถ้าไม่ทำ อีก ๕-๖ ปี ข้างหน้า ราคาค่าก่อสร้างค่าดำเนินการก็จะขึ้นไป ๒ เท่า ๓ เท่า ลงท้ายก็ต้องประวิงต่อไป และเมื่อประวิงต่อไป ก็จะไม่ได้ทำ เราก็จะต้องอดน้ำ แน่ จะกลายเป็นทะเลทราย แล้วเราจะอพยพไปที่ไหนก็ไม่ได้ ...

... ปัญหาเรื่องภัยแล้งนี้ ดูจะเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ หมู่นี้ก็พูดกันอย่างขวัญเสียว่า อีกหน่อยจะต้องปันส่วนน้ำ หรือแม้แต่จะต้องตัดน้ำประปา อันนี้สำหรับกรุงเทพฯ ฉะนั้น ต้องหาทางแก้ไขเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ได้วางแผนมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ถ้าหากว่าได้ปฏิบัติ ตามแผนนั้นๆ แล้ว วันนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงการขาดแคลนน้ำ โครงการโดยเฉพาะนั้นก็มี แล้ว โครงการนั้นได้ยืนยันมาเมื่อเดือนที่แล้ว เมื่ออยู่ที่นราธิวาสได้วางโครงการ ที่แม้จะยังไม่แก้ ปัญหาปีนี้หรือปีหน้า แต่ถ้าทำอย่างดี ในประมาณ ๕ หรือ ๖ ปี ปัญหาน้ำขาดแคลนใน กรุงเทพฯ จะหมดไปโดยสิ้นเชิง..."

พระราชดำรัสถึงโครงการกักเก็บน้ำป่าสัก จ.ลพบุรี และ จ.สระบุรี โครงการเขื่อนเก็บน้ำแม่น้ำนครนายก จ.นครนายก โครงการพัฒนาลุ่มน้ำปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ณ ศาลาดุสิตดาลัย สวนจิตรลดา วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๖


"... เรื่องน้ำนี้ ก็เป็นปัจจัยหลักของมวลมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์เท่านั้น แม้สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ทั้งสัตว์ทั้งพืช ถ้าไม่มีก็อยู่ไม่ได้ เพราะว่าน้ำเป็นสื่อ หรือเป็นปัจจัยสำคัญของสิ่งมีชีวิต แม้สิ่งไม่มีชีวิตก็ต้องการน้ำเหมือนกัน มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นอะไรไม่ทราบ เช่น ในวัตุถุต่างๆ ในรูปผลึก ก็ต้อง มีน้ำในนั้นด้วย ถ้าไม่มีน้ำก็จะไม่เป็นผลึก กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีรูป ฉะนั้น น้ำนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่กล่าวถึงข้อนี้ก็จะให้ได้ทราบถึงว่า ทำไมการพัฒนา ขั้นแรกหรือสิ่งแรก ที่นึกถึงก็คือโครงการชลประทาน แล้วก็โครงการ สิ่งแวดล้อมทำให้น้ำดี สองอย่างนี้อื่นๆ ก็จะเป็นไปได้ถ้าหากว่า ปัญหา ของน้ำนี้ เราได้สามารถที่จะแก้ไข หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ทำให้เรามีน้ำใช้ อย่างเพียงพอ ฉะนั้นการพัฒนานั้นสิ่งสำคัญก็อยู่ตรงนี้ นอกจากนั้น ก็เป็นสิ่งที่ต่อเนื่อง เช่นวิชาการในด้านการเพาะปลูก เป็นต้น ตลอดจนถึง การพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม หรือการค้า หรือการคลัง อะไร พวกนี้ก็ต่อเนื่องต่อไป... "

พระราชดำรัส วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๓๒ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน


 “... การทำฝนเทียมนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องมีเครื่องอุปกรณ์ วัสดุ และเจ้าหน้าที่ งานที่ทำนี้ก็ต้องส้ินเปลืองไม่ใช่น้อย แต้ถ้าผลที่ได้ คือจะเป็นผลที่น่าพอใจ การทำฝนนี้ เป็นสิ่งที่ลำบากหลายๆ ประการ ทางด้านเทคนิค และในด้านจังหวะที่จะทำ เพราะถ้าพูดถึงด้านเทคนิค ฝนที่ทำนี้ จะพลิกฤดูการไม่ได้ ไม่ใช่ว่าฝนแล้งจะบันดาลได้อย่าง ปาฎิหาริย์ทำให้มีฝนเพียงพอกับการเพาะปลูกมิได้ หรือจะแทนการ ชลประทานที่ขุดเรียบร้อยกว้างขวางก็ไม่ได้ แต่เป็นทางหนึ่งที่มีหวัง สำหรับฤดูกาลที่ควรจะมีฝน และฝนเทียมจะช่วยให้ประคองพืชผล ไม่ให้สิ้นไปพอได้ การทำฝนเทียมนี้เป็นสิ่งที่ใหม่ จึงต้องทำโครงการ อย่างระมัดระวัง เพราะว่าสิ้นเปลือง ถ้าทำแล้วไม่ได้ผลจะสิ้น เปลืองโดยใช่เหตุ...”

พระราชดำริ วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๑๗ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน


 ให้พิจารณาดำเนินการสร้างฝายราคาประหยัด โดยใช้วัสดุ ราคาถูกและหาง่ายในท้องถิ่น เช่น แบบหินทิ้งคลุมด้วยตาข่าย ช่วยปิดกั้นร่องน้ำกับลำธารขนาดเล็กเป็นระยะๆ เพื่อใช้เก็บกักน้ำ และตะกอนดินไว้บางส่วน โดยน้ำที่เก็บไว้ จะซึมเข้าไปในดิน ทำให้ความชุ่มชื้นแผ่ขยายออกไปทั้งสองข้าง ต่อไปจะสามารถ ปลูกพันธุ์ไม้ท้องถิ่น พันธ์ุไม้โตเร็ว และพันธุ์ไม้ไม่ทิ้งใบ เพื่อ ฟื้นฟูพื้นที่ต้นน้ำลำธารให้มีสภาพเขียวชอุ่มขึ้นเป็นลำดับ...” พระราชดำรัส วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๒ อ.บาเจาพ จ.นคราธิวาส “...ให้ดำเนินการสำรวจทำเลสร้างฝายต้นน้ำลำธารในระดับที่สูง ใกล้บริเวณยอดเขามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ลักษณะของฝาย ดังกล่าวจำเป็นต้องออกแบบใหม่ เพื่อให้สามารถกักเก็บน้ำ ไว้ได้ปริมาณน้ำหล่อเลี้ยงและประคับประคองกล้าไม้พันธุ์ที่ แข็งแรง และโตเร็วที่ใช้ปลูกแซมในป่าแห้งแล้ง อย่างสม่ำเสมอ โดยการจ่ายน้ำไปรอบๆ ตัวฝายจนสามารถตั้งตัวได้..."

พระราชดำรัส วันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๒๑ อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน


“... อาจมีบางคนเข้าใจว่า ทำไมจึงสนใจเรื่องชลประทาน หรือเรื่องป่าไม้ จำได้เมื่ออายุ ๑๐ ขวบ ที่โรงเรียนมีครู ซึ่งเดี๋ยวนี้ตายไปแล่้ว สอนเรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องการอนุรักษ์ดิน แล้วให้เขียนว่าภูเขาต้องมีป่าไม้อย่างนั้น เมื่อเม็ดฝนตกลงมาแล้ว จะชะดินลงมาเร็ว ทำให้ไหลตามน้ำไป ทำความเสียหายดินหมดจากภูเขา เพราะไหลตามสายน้ำไป ก็เป็นหลักของป่าไม้ เรื่องการอนุรักษ์ และเป็นหลักของชลประทาน ที่ว่า ถ้าเราไม่รักษาป่าไม้ข้างบน จะทำให้ เดือดร้อนตลอดทั้งดินบนภูเขาจะหมดไป กระทั่งมีตะกอนลงมาในเขื่อน มีตะกอนลงมาในแม่น้ำ ทำให้น้ำท่วม นี้นะ เรียนมา ตั้งแต่ อายุ ๑๐ ขวบ ..."

พระราชดำรัส เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๒

 “...สำหรับต้นน้ำ ไม้ที่ขึ้นอยู่บริเวณสองข้างลำห้วย จำเป็นต้องรักษา ไว้ให้ดี เพราะจะช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นไว้ ส่วนตามร่องน้ำและบริเวณที่น้ำซับ ก็ควรสร้างฝายขนาดเล็ก กั้นน้ำไว้ในลักษณะฝายชุ่มชื้น แม้จะมีจำนวนน้อยก็ตาม สำหรับแหล่งน้ำ ที่มีปริมาณน้ำมาก จึงสร้างฝายเพื่อผันน้ำ ลงมาใช้ในพื้นที่เพาะปลูก...” “... ควรสร้างฝายต้นน้ำลำธารตามร่องน้ำ เพื่อช่่วยชะลอกระแสน้ำ และกักเก็บน้ำ สำหรับสร้างความชุ่มชื้นให้กับบริเวณต้นน้ำ...”

พระราชดำรัส เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๒ ณ ดอยอ่างขาง เชียงใหม่



“หลักสําคัญ ว่าต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำเพื่อการเพาะปลูก เพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั่น 
ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้ ไม่มีไฟคนอยู่ได้ แต่ถ้ามีไฟฟ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้”

กระแสพระราชดํารัสนี้ พระราชทานไว้เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๒๙ 
ณ พระตําหนักจิตรลดารโหฐาน


ขอบคุณข้อมูลจาก



วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

พระราชดำรัสเกี่ยวกับบ้านเมือง


เนื่องในวโรกาส วันพ่อแห่งชาติ วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔
ผู้เขียนขอร่วมเผยแพร่พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพแด่องค์ภูมิพล อดุลยเดช

ถ้าทุกคนสนใจในความรักประเทศชาติ รักษาความดีเอาไว้ ไม่ต้องไปตามอย่างในสิ่งที่เราเห็น 
ว่าไม่น่าที่จะเจริญไม่น่าจะพัฒนา เราต้องรักษาแนวทางความคิดตามที่เรามีอยู่
 แม้จะเป็นสิ่งที่ตกทอดมาแต่โบราณกาลจากปู่ย่าตายายของเรา 
แต่เป็นระเบียบการหรือเป็นวิธีการที่ดี จะไม่ล้าสมัย

(ในโอกาสเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมวิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร 13 มีนาคม 2514) 


บ้านเมืองของเรากำลังต้องการการปรับปรุงและการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพ 
ทางที่เราจะช่วยกันได้ก็คือ การที่ทำความคิดให้ถูกและแน่วแน่ 
ในอันที่จะยึดถือประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นที่หมาย ต้องเพลาการคิดถึงประโยชน์เฉพาะตัว
 และความขัดแย้งกันในสิ่งที่มิใช่สาระลง

(พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2543) 


ในการปฏิบัติราชการนั้น ขอให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อย่านึกถึงบำเหน็จรางวัลหรือผลประโยชน์ให้มาก
ขอให้ถือว่าการทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ เป็นทั้งรางวัลและประโยชน์อย่างประเสริฐ 
จะทำให้บ้านเมืองไทยของเราอยู่เย็นเป็นสุขและมั่นคง

(เนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือน 1 เมษายน 2533) 


คนเราถ้าพอใจในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข

(พระราชทานแก่คณะบุคคลที่เข้าเฝ้าฯ ณ ศาลาดุสิดาลัย 4 ธันวาคม 2541) 

ขอบคุณข้อมูลจาก
และภาพจากอินเตอร์เนต

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

พระราชดำรัสเกี่ยวกับความพอเพียง



“...เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาของเศรษฐกิจ การที่ต้องใช้รถไถต้องไปซื้อ 
เราต้องใช้ต้องหาเงินมาสำหรับซื้อน้ำมันสำหรับรถไถ เวลารถไถเก่าเราต้องยิ่งซ่อมแซม 
แต่เวลาใช้นั้นเราก็ต้องป้อนน้ำมันให้เป็นอาหาร เสร็จแล้วมันคายควัน ควันเราสูดเข้าไปแล้วก็ปวดหัว ส่วนควายเวลาเราใช้เราก็ต้องป้อนอาหาร ต้องให้หญ้าให้อาหารมันกิน 
แต่ว่ามันคายออกมา ที่มันคายออกมาก็เป็นปุ๋ย แล้วก็ใช้ได้สำหรับให้ที่ดินของเราไม่เสีย...”

พระราชดำรัส เนื่องในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ 
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๙ 


“...เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้ แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก
เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมากก็จะมีแต่ถอยกลับ ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว
 แต่ถ้าเรามีการบริหารแบบเรียกว่าแบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป 
ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละคือเมตตากัน จะอยู่ได้ตลอดไป...”

พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔ 


“...ตามปกติคนเราชอบดูสถานการณ์ในทางดี ที่เขาเรียกว่าเล็งผลเลิศ ก็เห็นว่าประเทศไทย 
เรานี่ก้าวหน้าดี การเงินการอุตสาหกรรมการค้าดี มีกำไร อีกทางหนึ่งก็ต้องบอกว่าเรากำลังเสื่อมลงไปส่วนใหญ่ ทฤษฎีว่า ถ้ามีเงินเท่านั้นๆ มีการกู้เท่านั้นๆ หมายความว่าเศรษฐกิจก้าวหน้า 
แล้วก็ประเทศก็เจริญมีหวังว่าจะเป็นมหาอำนาจ ขอโทษเลยต้องเตือนเขาว่า จริงตัวเลขดี
 แต่ว่าถ้าเราไม่ระมัดระวังในความต้องการพื้นฐานของประชาชนนั้นไม่มีทาง...”

พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๖

“...เดี๋ยวนี้ประเทศไทยก็ยังอยู่ดีพอสมควร ใช้คำว่า พอสมควร เพราะเดี๋ยวมีคนเห็นว่ามีคนจน 
คนเดือดร้อน จำนวนมากพอสมควร แต่ใช้คำว่า พอสมควรนี้ หมายความว่าตามอัตตภาพ...”

พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙ 


“...ที่เป็นห่วงนั้น เพราะแม้ในเวลา ๒ ปี ที่เป็นปีกาญจนาภิเษกก็ได้เห็นสิ่งที่ทำให้เห็นได้ว่า ประชาชนยังมีความเดือดร้อนมาก และมีสิ่งที่ควรจะแก้ไขและดำเนินการต่อไปทุกด้าน มีภัยจากธรรมชาติกระหน่ำ ภัยธรรมชาตินี้เราคงสามารถที่จะบรรเทาได้หรือแก้ไขได้ เพียงแต่ว่าต้องใช้เวลาพอใช้ มีภัยที่มาจากจิตใจของคน ซึ่งก็แก้ไขได้เหมือนกัน แต่ว่ายากกว่าภัยธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งนอกกายเรา แต่นิสัยใจคอของคนเป็นสิ่งที่อยู่ข้างใน อันนี้ก็เป็นข้อหนึ่งที่อยากให้จัดการให้มีความเรียบร้อย แต่ก็ไม่หมดหวัง...”

พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙ 


“...การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัวเอง จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอ จะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก...”

พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙. 


“...เมื่อปี ๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน 
พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ 
ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน 
บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย...”

พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑ 


“...พอเพียง มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือคำว่าพอ ก็พอเพียงนี้ก็พอแค่นั้นเอง 
คนเราถ้าพอในความต้องการก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย 
ถ้าประเทศใดมีความคิดอันนี้ มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ซื่อตรง 
ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมี มีมากอาจจะมีของหรูหราก็ได้ 
แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น...” 

พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑ 


“...ไฟดับถ้ามีความจำเป็น หากมีเศรษฐกิจพอเพียงแบบไม่เต็มที่ เรามีเครื่องปั่นไฟก็ใช้ปั่นไฟ
หรือถ้าขั้นโบราณกว่า มืดก็จุดเทียน คือมีทางที่จะแก้ปัญหาเสมอ ฉะนั้นเศรษฐกิจพอเพียงก็มีเป็นขั้นๆ
แต่จะบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ให้พอเพียงเฉพาะตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์นี่เป็นสิ่งทำไม่ได้ 
จะต้องมีการแลกเปลี่ยน ต้องมีการช่วยกัน ถ้ามีการช่วยกัน แลกเปลี่ยนกัน ก็ไม่ใช่พอเพียงแล้ว 
แต่ว่าพอเพียงในทฤษฎีในหลวงนี้ คือให้สามารถที่จะดำเนินงานได้...”

พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒ 


“...โครงการต่างๆ หรือเศรษฐกิจที่ใหญ่ ต้องมีความสอดคล้องกันดีที่ไม่ใช่เหมือนทฤษฎีใหม่ 
ที่ใช้ที่ดินเพียง ๑๕ ไร่ และสามารถที่จะปลูกข้าวพอกิน กิจการนี้ใหญ่กว่า 
แต่ก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน คนไม่เข้าใจว่ากิจการใหญ่ๆ 
เหมือนสร้างเขื่อนป่าสักก็เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน 
เขานึกว่าเป็นเศรษฐกิจสมัยใหม่ เป็นเศรษฐกิจที่ห่างไกลจากเศรษฐกิจพอเพียง 
แต่ที่จริงแล้ว เป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน...”

พระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 
ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๒ 


“...ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียงความหมายคือ ทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง 
คือทำจากรายได้ ๒๐๐-๓๐๐ บาท ขึ้นไปเป็นสองหมื่น สามหมื่นบาท คนชอบเอาคำพูดของฉัน 
เศรษฐกิจพอเพียงไปพูดกันเลอะเทอะ เศรษฐกิจพอเพียง คือทำเป็น Self-Sufficiency 
มันไม่ใช่ความหมายไม่ใช่แบบที่ฉันคิด ที่ฉันคิดคือเป็น Self-Sufficiency of Economy
เช่น ถ้าเขาต้องการดูทีวี ก็ควรให้เขามีดู ไม่ใช่ไปจำกัดเขาไม่ให้ซื้อทีวีดู 
เขาต้องการดูเพื่อความสนุกสนาน ในหมู่บ้านไกลๆ ที่ฉันไป เขามีทีวีดูแต่ใช้แบตเตอรี่ เขาไม่มีไฟฟ้า
แต่ถ้า Sufficiency นั้น มีทีวีเขาฟุ่มเฟือย เปรียบเสมือนคนไม่มีสตางค์ไปตัดสูทใส่
และยังใส่เนคไทเวอร์ซาเช่ อันนี้ก็เกินไป...” 

พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล 
๑๗ มกราคม ๒๕๔๔ 


เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อมวลประชาชน
เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช 

ขอบคุณข้อมูลจากมูลนิธิชัยพัฒนา
ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ส่องกระจกในความมืด


กิจกรรมเพื่อสังคม เพื่อสาธารณะประโยชน์ หรือเพื่อรณรงค์ ส่งเสริม สังคมให้ดีงามตามวิถีไทย ตามรอยเท้าพ่อ เพื่อเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ผู้เขียนอยากจะเรียนว่าไม่ว่ากิจกรรมใดๆ ถ้าตรงกับจริตของผู้เขียนแล้ว และผู้เขียนรู้สึกว่ามีความสุขถ้าได้ทำเช่นนั้น ผู้เขียนพร้อมจะเข้าร่วมกิจกรรมตามสภาพและกำลังศรัทธา 

และที่ผ่านมากิจกรรมต่างๆที่ได้ร่วมแล้ว บางกิจกรรม บางกลุ่ม บางทีม ผู้เขียนก็ละจากมาอย่างเงียบๆโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ด้วยเหตุผลไม่ชอบส่วนตัว แต่ไม่เคยไปโพนทนาว่าทำไมถึงต้องจากไป 

บางกิจกรรม ถูกปล่อยปละละทิ้งเสมือนไร้คนดูแลและสานต่อให้กิจกรรมยังคงมีความเคลื่อนไหว
 แต่ด้วยความรักและศรัทธาในสิ่งที่ได้มีส่วนร่วมเริ่มต้นมาด้วยตัวเองแล้ว 
จึงยังต้องดูแลอยู่อย่างเงียบๆต่อไป

บางกิจกรรมได้รับการยอมรับจากสังคมมากมาย แต่ภาพลักษณ์ภายใน 
ไร้ระบบระเบียบในการดำเนินงาน ยึดหลัก..ตัวกู...เป็นใหญ่ 

เมื่อได้ทำความรู้จัก"คน"อาสา ก็ยิ่งได้เรียนรู้ การ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

แม้จะยกตนว่าดีกว่าคนอื่นอย่างไร...ค่าแห่งความเป็น คน ย่อมไม่แตกต่างกันมาก 
หากแต่เพียงมุมความคิดและวิธีการนำเสนอคุณค่าในตัวเองเท่านั้นที่ต่างกัน

บางคนเป็นต้นไม้ใหญ่ หวั่นไหวไปตามแรงลม แต่ยังยืนหยัดอยู่อย่างมั่นคง
บางคนเป็นยอดหญ้า ลู่ไปตามแรงลม เหมือนล้าแรง
บางคนยอมหักไม่ยอมงอ...

บางคนแม้มีกระจกส่องใจ...สักสิบสักร้อย ถ้าขาดการพินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วน 
ด้วยสติ ด้วยเหตุและผล ก็ไม่ต่างอะไรกับส่องกระจกในความมืด

ส่วนตัวผู้เขียนนั้น..ชี้ชัดไม่ได้ว่าเป็นอย่างไร 
บางครั้งยอมหักไม่ยอมงอ 
ซึ่งแล้วแต่จังหวะเวลา แต่ไม่ใช่ต้นต้นอ้อล้อไปกับแรงลม
และชัดเจนว่า..ตัวกู..ใหญ่มากเหมือนกัน 

ขอบคุณภาพจาก

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

น้ำท่วมบ้านทุ่งผักบุ้งไม่มี

ผู้เขียนเกิดบ้านทุ่ง พ่อเลี้ยงเป็นเพื่อนยุงกลางสวนยาง แต่ไปโตในเมือง ดังนั้นบรรยากาศแบบบ้านอก บ้านทุ่ง บ้านนา บ้านกลางสวนและเด็กในเมืองได้สัมผัสมาอย่างละเล็กละน้อย 
และถูกบันทึกไว้ในความทรงจำ



ภาพน้ำท่วมทุ่ง(นา)ก็เคยเห็นและพอจำได้รางเลือนเมื่อตอนเด็กมากเคยร้องขอพี่ๆ(ลูกพี่ลูกน้อง)ติดเรือออกไปกลางทุ่ง ที่มีน้ำสุดลูกหูสุดลูกตา ใน ที่บอกว่าร้องขอ คือต้องร้องให้ก่อนจึงจะได้ไป เพราะยังเด็กมากพี่ๆวัยรุ่นไม่อยากเอาไปเป็นภาระ ขอดีๆไม่ให้ไปต้องร้องน้ำตาใหลก่อน ให้ปู่หรือย่าเห็นก่อนเขาจะได้บอกว่า "เอาน้องไปด้วย" นี่คือคำสั่งปกาศิต

เมื่อโตแล้ว ถูกส่งเข้าไปอยู่ในเมือง ปิดเทอมถึงได้กลับบ้าน บางทีอ้างเรียนพิเศษก็ไม่กลับ


ดังนั้น น้ำท่วมบ้านทุกปีก็จริง ไม่เคยได้สัมผัสของจริงสักครั้ง 
ปีนี้คงเป็นครั้งแรก ที่มีโอกาสได้สัมผัสของจริง 
ดังนั้นจึงเดินออกไปสำรวจน้ำนอกบ้านตั้งแต่เช้าตรู่



เช้าตรู่เมื่อหลายวันก่อนสายหมอกหนาเต็มฟ้า เห็นแล้วตื่นเต้น ถ้าเป็นกรุงเทพฯเราคงดีใจ ว่าลมหนาวคงมาเยือนในเร็ววัน แต่ภาคใต้มีแต่ความเย็นจากลมฝน น้าบอกว่า..แสดงว่าฝนจะตกใหญ่ ผู้เขียนแอบคิดในใจว่า..ตอนนี้ก็ตกทุกวันมาเป็นเดือนๆอยู่แล้วไม่เห็นมีหมอก
มะละกอ(พันธ์อะไรจำไม่ได้) ลูกดก ไม่มีเมล็ด หวาน อร่อยมาก หากน้ำท่วมขังหลายวันมันคงตายเพราะรากมะละกอไม่แข็งแรงพอจะแช่น้ำหลายวัน




และเมื่อ ๓ วันที่ผ่านมาฝนตกอย่างหนักทั้งวันทั้งคืน ไม่พักยกหยุดให้พระอาทิตย์ได้ส่งแสงถึงผืนดิน 

เช้านี้..น้ำคลองหลังบ้านเอ่อล้นกระจายตัวไปทั่วถึงกันทุกบ้าน น้ำทุ่งกำลังข้ามถนนผ่านมาชนกับน้ำคลองทำให้คิดถึงคำบอกเล่าของน้า...ฝนจะตกใหญ่ อืม..จริงแฮะ

ตอนนี้น้ำกำลังเดินทางอย่างช้าๆ ค่อยๆสูงขึ้นทีน้อย ไม่ค่อยน่าตกใจกลัว บ้านของผู้เขียนถมที่สูงกว่าคนอื่นเล็กน้อยน้ำจึงมาช้ากว่าคนอื่น บ้านน้าเป็นบ้านยกพื้นสูง น้ำเข้ายึดครองพื้นที่บริเวณใต้ถุนเรียบร้อย บ้านของหลานยกของหนีน้ำตอนตีสี่

น้ำท่วมขังผ่านไปเพียงวันเดียว มะละกอต้นข้างบนก็ล้าแรง
ถอนรากถอนโคนตัวเองนอนพักไปอย่างถาวรแล้ว
น้ำยังคงเดินทางมาอย่างอ้อยอิ่ง ปล่อยเราเฝ้ารอ แล้วรอเล่า
ยังไม่ยอมหยุดเดินทางและเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
อีกประมาณ ๑ ฟุตจึงไหลจะเข้าบ้าน
อาจคงต้องรอถึงพรุ่งนี้เช้า เพราะดูเธอทำตัวเป็นรถไฟไทย..ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง




วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คนเบื้องหลัง"รายการรักพ่อ"

"กลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ"

 เป็นกลุ่มทำงานที่ริเริ่มทำงานอย่างอิสระจากคนไม่กี่คน จนกระทั่งความเติบโต ยืนหยัดอย่างเข้มแข็งท่ามกลางปัญหามากมาย ปัจจุบันงานเพื่อพ่อหลวง งานเพื่อสาธารณะเข้ามามากมาย โดยเฉพาะช่วงเวลาที่คนกรุงเทพฯ ปทุมธานี อยุธยาและจังหวัดใกล้เคียงต้องประสบกับปัญหาน้ำท่วมอย่างรุนแรง
ผู้เขียนเฝ้ามองการทำงานของพี่น้องในกลุ่มอย่างเงียบๆ พวกเขาได้ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ เสียสละเวลา ทุนทรัพย์ส่วนตัวให้กับงานสาธารณะโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและท้อถอย

นั่นคือคนทำงานในส่วนหน้าของกลุ่ม และในกลุ่มทำงานรักพ่อภาคปฏิบัติยังมีอีกส่วนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังและผลิตงานรายการวิทยุรักพ่อออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเผยแพร่
 และรณรงค์ส่งเสริมให้คนไทยออกมาแสดงความรัก และทำดีเพื่อพ่อหลวงกัน
มากๆ


จำได้แต่ว่าวันหนึ่งคุณจอม พินิจ อัศวนุชิต บอกด้วยเสียงตื่นเต้นว่า พี่ครับเรากำลังจะมีรายการวิทยุ มีสถานีวิทยุเชียงใหม่ซึ่งจัดรายการโดยคุณแอน ฟ้องจันทรฺ์ เพื่อนจากฟากฟ้า จะช่วยออกอากาศให้เรา และมีพี่บอนช่วยเหลือในเรื่องจัดทำรายการ ผู้เขียนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งนั่นหมายถึงเรามีช่องทางในการเผยแพร่กิจกรรมดีๆ ออกสู่สังคมได้มากขึ้น ซึ่งอันที่จริงผู้เขียนไม่รู้จักคุณแอน และพี่บอน แต่ก็รู้สึกขอบคุณและรู้สึกว่าถ้าเราตั้งใจทำสิ่งดีๆ คนดีๆย่อมยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือโดยมิต้องเรียกร้อง หรือร้องขอ

หลังจากนั้น คุณจอมประสานงานกับพี่บอน และคุณแอนจนกระทั่งรายการแรก เทปแรก ได้เผยแพร่ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๔  และทุกวันศุกร์ เวลา ๑๘.๐๐ น.
เรื่อยมาถึงปัจจุบัน
ที่เว็บไซด์ คนเมืองเรดิโอ

ผู้เขียนเคยสอบถามคุณจอมว่า การจัดทำรายการมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง (เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าเราไมมีผู้สนับสนุนค่าใช้จ่าย) ในส่วนของผู้จัดทำ ผู้ดำเนินรายการ การเดินทางของพี่บอน คุณจอมบอกว่า..คุณลุงสุเวศน์ ภู่ระหงษ์ ศิลปินประชาชน ให้เกียรติ เป็นผู้ดำเนินรายการ ทำงาน และเต็มใจเต็มที่ ที่จะทำงานนี้ ส่วนพี่บอนออกปากช่วยเต็มที่ ทั้งที่พี่บอนต้องเดินทางเทียวไปเทียวมาจากกาฬสินธ์ ไปจันทบุรี ทุกสัปดาห์ โดยใช้ห้องอัดเสียงของคุณลุงสิงหาซึ่งคุณลุงสิงหาคิดค่าห้องอัดในราคาพิเศษสุดๆ 

ขณะนี้เทปรายการที่ดำเนินการโดยคุณลุงสุเวศน์ ภู่ระหงษ์ ยังคงผลิตงานออกมาเรื่อยๆ 
บางช่วงเวลาคุณลุงได้ตัวช่วยโดยดีเจเสียงใสจากครอบครัวอุ่นรัก จังหวัดชลบุรีมาช่วย 
คือน้องเอ๋ กนกพรรณ รัตนวิเวก 

ได้จัดทำไปแล้วถึง ๑๑ เทป นอกจากเผยแพร่โดยวิทยุคนเมืองแล้ว ณ ตอนนี้พี่บอนยังได้เพิ่มช่องทางให้คนรักพ่อได้มีโอกาสได้รับฟังโดยจัดทำวิทยุออนไลน์ เพื่อเพิ่มช่องทางการสื่อสารถึงคนทั่วโลกอีกด้วย..
และสามารถรับฟังได้จากเว็บไซด์ของคุณลุงสุเวศน์ ภู่ระหงษ์ ศิลปินเพื่อประชาชน
Chez J
แผ่นดินนี้เราจอง
ตลอด ๒๔ ชั่วโมง


รายการรักพ่อ นอกจากคุณจอม พินิจ อัศวนุชิต หัวหน้ากลุ่มผู้ซึ่งรักพ่อออกนอกหน้า 
จนก้าวมาถึงรักพ่อภาคปฏิบัติ แล้ว 
ายการดีๆจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีพี่บอน หรืนายบอน กาฬสินธ์ ผู้อยู่เบื้องหลังการทำรายการทุกๆรายการ พี่บอนต้องเดินทางมาจากจังหวัดกาฬสินธ์ทุกสัปดาห์  เพื่อช่วยคุณลุงสุเวศน์ และคุณลุงสิงหา ในด้านเนื้อหาของรายการและด้านเทคนิคในทุกๆขั้นตอน  หรือถ้าไม่มีคุณลุงสุเวศน์ ภู่ระหงษ์ และคุณลุงสิงหา ผู้มีหัวใจรักพ่อหลวง ได้เสียสละทุ่มเทหัวใจ ความรักและให้เวลา ทำงานด้วยความแข็งขัน ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว ไม่เคยพบปะ เจอหน้าตากัน

นอกจากนี้เรายังได้แนวร่วมจากจากดีเจน้องเอ๋ กนกพรรณ รัตนวิเวก ดีเจนิกกี้ อนุศาสตร์  บ่าวสมุย ได้เข้ามาช่วยคุณลุงสุเวศน์ เป็นดีเจร่วมด้วย หรือถ้าไม่มีคุณแอน ฟ้องจันทร์  เพื่อนจากฟากฟ้า  
จากคนเมืองเรดิโอ จังหวัดเชียงใหม่

ผู้เขียนในฐานะของสมาชิกกลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติ ได้เฝ้าติดตามการทำงานของทุกๆคน รู้สึกซาบซึ้ง และขอกราบคารวะในดวงจิตศรัทธาต่อพ่อหลวง ที่ได้ทุ่มทุนส่วนตัว ทุ่มเทแรงกายและเสียสละเวลาในการดำเนินการทุกๆขั้นตอน จนกระทั่งกลุ่มรักพ่อภาคปฏิบัติได้ยืนหยัดอย่างเข้มแข็ง

ขอบคุณภาพถ่ายหล่อ เท่ห์และสวย จาก Facebook ของพี่บอน และน้องเอ๋

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

"ในหลวง"ท่ามกลางภยันตรายในสามจังหวัดชายแดนใต้


ปัตตานี ฝนยังคงตกหนัก ท้องฟ้ายังคงมืดมัว ฤาสัญญาณของฤดูน้ำหลากกำลังมาเยือนอย่างแท้จริง 

กรมอุตุนิยมวิทยาก็ประกาศเตือน ภาคใต้ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ฝนตกหนักและอาจมีน้ำท่วมฉับพลัน เราจะเชื่อหรือไม่ ก็ไม่ควรประมาทกับธรรมชาติ

เช้าวานนี้(๒๑ พฤศจิกายน ๒๒๕๕๔)หลังจากผู้เขียนเตรียมอาหารใส่บาตรพระภิกษุสงฆ์แล้ว ได้ยินเสียงตูมใหญ่คล้ายเสียงระเบิดเอ็ม๗๙ ที่เคยคุ้นเคยในเมืองหลวง ผู้เขียนกับน้าสบตากันเหมือนรู้นัย 
แต่ชั่วไม่กี่วินาทีก็ได้ยินเสียงฟ้าครืนครางตามมา เราจึงยิ้มพร้อมกัน..
โล่งอกไปทีคิดว่าเสียงระเบิดดังใกล้บ้านที่แท้ก็เสียงฟ้าร้อง 

และช่วงเวลาสายๆ ก็ทราบข่าวจากเพื่อนๆในออนไลน์และข่าวจากทีนิวส์ว่าเกิดระเบิดชุดคุ้มกันพระสงฆ์ขณะบิณฑบาตรบาดเจ็บ ๙ ราย ท่ามกลางฝนตกอย่างหนัก ผู้ก่อการร้ายก็ไม่หยุดพักหยุดนอนกันบ้างแล้วหรือไร ไม่เว้นแม่แต่พระสงฆ์ผู้ไม่เคยคิดผิดคิดร้ายกับผู้ใด โหดร้ายกับสังคมไทยมากเกินไปแล้ว

หลายๆคนเคยตั้งคำถามกับผู้เขียนถึงสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่บ้านเกิด ผู้เขียนเองเกิดและเติบโตที่นี่จริงอยู่แต่หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมแล้วออกจากพื้นที่..แม้ก่อนไปภาพความงดงามในสัมพันธภาพระหว่างความแตกต่างของคนไทยมุสลิมและไทยพุทธยังอยู่ในความทรงจำ
ก็มิอาจตอบได้ว่า..สาเหตุที่แท้จริง..คืออะไร?

สามจังหวัดชายแดนใต้นอกจากประชาชนอยู่กับความยากจนแล้วยังต้องอยู่
กับความหวาดกลัวมาเป็นเวลานาน

แต่ในความน่ากลัวอันตรายที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้น...ยังมีพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย 
ทรงบากบั่นเยี่ยมราษฎรของพระองค์ด้วยความลำบากโดยปราศจากความหวาดกลัว 
ทรงแก้ปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 

ผู้เขียนเคยเก็บเรื่องราวประทับใจจากเว็บไซด์เจ้าพระยานิวส์...


“รักถึงเพียงนี้” และ “จุดเทียนส่งเสด็จ”

  บทความชื่อ “แผ่นดินร่มเย็นที่นราธิวาส” ตีพิมพ์ในนิตยสาร “สู่อนาคต” 
ฉบับพิเศษเนื่องในวันเฉลิมฯ ได้เล่าย้อนให้เราได้เห็นภาพความยากลำบากในการเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทางภาคใต้เมื่อหลายปีก่อน โดยเฉพาะช่วงก่อนสร้างพระราชตำหนักทักษิณราชนิเวศน์นั้น เป็นที่รู้กันว่าจังหวัดนราธิวาสชุกชุมไปด้วยโจรร้าย โจรปล้นสะดมและพวกโจรเรียกค่าไถ่ ถึงขนาดที่ในหลายๆ หมู่บ้านนั้น แม้แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไป

  ทว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักในทุกข์อันลึกล้ำของชาวบ้านที่ทั้งทุกข์เพราะยากจน และทุกข์เพราะภัยคุกคาม จึงได้เสด็จฯ ลงไปเยี่ยมเยียนเป็นขวัญกำลังใจให้ราษฎรของพระองค์โดยไม่ทรงหวาดหวั่น บางวันถึงกับเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์โดยปราศจากกำลังอารักขา และบางหมู่บ้านตำรวจเพิ่งถูกคนร้ายแย่งปืนแล้วยิ่งตายก่อเสด็จไปถึงเพียงไม่ กี่ชั่วโมง
  ทรงรักราษฎรถึงเพียงนี้ จึงไม่แปลกที่หญิงชราคนหนึ่งในหมู่บ้านหนึ่งของอำเภอรือเสาะจะเข้ามาเกาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวร้องไห้แล้วบอกว่า 
“ไม่นึกเลยว่าพระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไทยชาวพุทธ จะมารักมุสลิมได้ถึงขนาดนี้…

  บทความเดียวกันได้เปิดเผยต่อไปอีกว่า ที่อีกหมู่บ้านหนึ่งในอำเภอเดียวกันนั้น โต๊ะครูได้พาพรรคพวกมายืนรอรับเสด็จแล้วพูดขึ้นว่า “..รายอกลับไปเถอะ ประไหมสุหรีกลับไปเถิด ประเดี๋ยวพวกโจรจะลงจากเขา…” 
 และเมื่อถึงเวลาเสด็จฯ กลับที่มืดสนิทอย่างน่ากลัว โต๊ะครูกับชาวบ้านก็พากันมาจุดเทียนส่งเสด็จตลอดเส้นทางอันตราย ด้วยความห่วงใยใน “รายอ” และ “ประไหมสุหรี” หรือ พระราชาพระราชินีของพวกเขาอย่างสุดซึ้ง 
.....................................................

เป็นบทความที่ทำให้เราได้เรียนรู้อดีต และชัดเจนว่าพระเจ้าอยู่หัวฯของคนไทยทั้งประเทศทรงงานอย่างหนักมาเป็นเวลานานหลายสิบปี

ณ ที่แห่งหนตำบลใดประชาชนอยู่อาศัยกันด้วยความยากลำบาก พระองค์มิทรงนิ่งเฉย 
ทรงช่วยเหลือ แก้ปัญหาให้ราษฎร โดยไม่หวั่นกลัว ไม่ท้อถอยต่อภยันตรายใดๆ 
ดังนั้นพระองค์จึงเป็นที่รักของราษฎรทั่วทั้งประเทศไม่ว่านับถือศาสนาพุทธ คริสต์หรืออิสลาม มีภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน






หลังจากเรียนจบแล้วเคยกลับมาทำงานอยู่กับหน่วยงานของราชการที่จังหวัดยะลา เคยได้สัมผัสความน่ากลัวจากเงาของบุคคลที่เราไม่รู้จัก ไม่เห็น อยู่บ้างพอสมควร และมักได้ยินคำตักเตือนจากหน่วยงานเองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเช่นตำรวจเสมอ ๆ

รถยนต์ใช้ออกพื้นที่ของหน่วยงานเราก็ไม่มีตราสัญลักษณ์เพราะไม่ต้องการให้เป็นที่สังเกตุ และถ้าจำเป็นต้องออกพื้นที่สีแดง(หมู่บ้านสุ่มเสี่ยงอันตราย) ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบเพื่อขอกำลังคุ้มกัน แต่ช่วงเวลานั้นสำหรับบัณฑิตจบใหม่ไฟแรง ทำงานด้วยอุดมการณ์แม้เราไม่ประมาทแต่ไม่เคยกลัวและกลับคิดอีกมุมว่าถ้าต้องมีตำรวจคุ้มกัน เราน่าจะปลอดภัยน้อยกว่า 
ดังนั้นเราจึงเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในหมู่บ้านพื้นที่สีแดงโดยไม่แจ้งหัวหน่วยงานเสมอๆ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นพอสมควร 
คนในหมู่บ้านแสดงความเป็นห่วงและแจ้งให้เราทราบว่าในหนึ่งสัปดาห์มีวันไหนบ้างที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายเข้าตลาดและสั่งห้ามคนในหมู่บ้านไปไหนมาไหน และอาจทำร้ายคนแปลกหน้าที่ผ่านเข้ามาในหมู่บ้าน แต่โดยส่วนใหญ่ชาวบ้านก็ยังอยู่กันอย่างสงบนานๆทีจะมีเรื่องร้ายๆให้อกสั่นขวัญหาย

ทุกวันนี้สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่เคยเป็น กลุ่มผู้ก่อการร้ายเป็นกลุ่มเดียวกับในอดีตหรือไม่ ผู้เขียนมิอาจตัดสินได้แต่กลุ่มที่ดำเนินการก่อความไม่สงบในปัจจุบันทำเกินกว่าเหตุและโหดร้ายเกินไป

เจ้าหน้าที่บ้านเมือง พ่อค้า ประชาชนผู้เกี่ยวข้อง ช่วยกันสอดส่อง ดูแลประชาชน ให้ได้อยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคี มีความสงบสุขและปลอดภัย
ผู้ก่อการดี หรือ ผู้ก่อการร้ายทั้งหลาย ได้โปรดหยุดทำร้ายบ้านเมือง หยุดทำร้ายประชาชนในพื้นที่ 
และทำความดี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระเจ้าอยู่หัวฯกันเถิด.


ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซด์เจ้าพระยานิวส์
ขอบคุณภาพในหลวงจากอินเตอร์เนต
ขอบคุณภาพมัสยิดจากต้นไผ่โฟโต้ ปัตตานี

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ยายยิ้ม


เช้าวันนี้อากาศขมุกขมัว แสงแดดอ่อนแรงร่อยหรุบลง บางครั้งก็เจิดจ้าแผ่รังสีความร้อนกระจายตั้งแต่ยังไม่สาย แต่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ

เสียงนกกรงหัวจุกนอกหน้าต่างยังคงร้องเพลงโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

หลังจากผู้เขียนเสร็จภารกิจจากงานบ้านแล้วก็เริ่มภารกิจต่อไปคือ..นั่งหน้ามึนอยู่กับข่าวคราวบ้านเมืองในอินเตอร์เนต โดยเฉพาะช่วงเวลานี้..เรื่องภัยธรรมชาติจากน้ำท่วมเมืองกรุงยังไม่ทันจะบรรเทาเบาบาง เรื่องการเมือง เรื่องร้อนๆ ของนักการเมืองจอมคอรัปชั่นก็ประดังเข้ามา 

ผู้เขียนปิดตัวเองอยู่กับสังคมออนไลน์และเจอเรื่องราวของ..ยายยิ้ม..
อ่านแล้วก็อยากยิ้ม ได้ข้อคิดสะกิดใจได้จากยายยิ้ม ทั้งในมุมของการดำเนินชีวิตของหญิงชราผู้ไม่ยอมเป็นภาระใคร ผู้ไม่รู้จักความทุกข์ ในขณะที่เราและใครๆจมอยู่กับทุกข์...และการเดินตามรอยเท้าพ่อหลวงในชีวิตประจำวันกับแนวเศรษฐกิจพอเพียงที่หลายๆคนบอกว่าทำได้ยาก เพราะไม่เข้าใจ ไม่คิด และไม่ทำ


(บทสัมภาษณ์ระหว่างพิธีกรและยายยิ้ม)

พิธีกร : เดินไปวัดลำบาก เหนื่อยไหม 
ยายยิ้ม : เหนื่อยก็พัก แล้วเดินต่อ ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ เห็นพระก็หายเหนื่อย 

ยายยิ้ม หญิงร่างเล็ก หลังงุ้ม ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสมชื่อ 
อาศัยในบ้านไม้ที่เกือบเสร็จท่ามกลางป่าเขา
จ.พิษณุโลก อยู่ลำพังอย่างเดียวดาย ห่างไกลผู้คนและเงียบสงัด

เมื่อ 20 ปี ก่อน ยายมีบ้านอยู่ที่อำเภอพรหมพิราม พร้อมลูกหลาน 
ตอนนั้นลูกชายคนเล็กตั้งใจจะมาบุกเบิกทำมาหากินบริเวณที่อยู่ปัจจุบัน 
แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้ง ความไกล ไข้ป่า และความลำบาก 
ส่งผลให้ลูกชายของยายเลือกที่จะไปขับรถแท๊กซี่ใน กทม.

และไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ และการไม่อยากเป็นภาระลูกหลานหรืออื่นๆ
ยายยิ้มจึงตัดสินครั้งสำคัญ อาศัยอยู่ที่บ้านในป่าผืนนั้น เป็นต้นมา

ลูกหลานขอร้องให้ยายกลับมาอยู่บ้านแต่ยายไม่กลับ 
ลูกหลานจึงได้แต่มาเยี่ยมยายเป็นระยะรวมถึงการนำเสื้อผ้าผ้าห่ม 
ข้าวสารอาหารแห้งมาให้ยาย ลูกชายคนที่ยังอยู่ในอำเภอพรหมพิรามบอกว่า
"แม่เขาจะบอกว่าไม่ต้องเอามาให้มากนะ ในชีวิตเขา แม่เขาไม่เคยอยากได้อะไรเลย 
เคยถามเขาก็บอกว่า เขาพอแล้ว สมัยยังเด็กบ้านเราจนกันมาก 
พ่อก็ตายตอนที่เรายังเล็ก ๆ แต่แม่คนเดียวก็หา
เลี้ยงลูกได้ มานึกดูแกต้องทำงานหนักมาก แม่ถึงเน้นสอนให้เข้มแข็ง 
หนักเอาเบาสู้ไม่เลือกงาน" 
ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาท่ามกลางขุนเขา ยายไม่มีนาฬิกา 
แต่ทุกเวลาล้วนมีคุณค่า การมีชีวิตอยู่ของยายหมดไปกับการปลูกต้นไม้ 
ทำฝายเล็ก ๆ ที่ยายได้อาศัยในยามหน้าแล้งและยังเป็นสายธาร
หล่อเลี้ยงบรรดาสัตว์ และต้นไม้บนผืนแผ่นดินนี้ 
และตั้งใจถวายในหลวงและพระราชินี ยายรักในหลวงและพระราชินีมาก 
กิจวัตรประจำวัน ตื่นแต่เช้า จุดธูปไหว้พระ เก็บมุ้ง กระย่องกระแย่งมาจุดฟืนหุงข้าว
ตักข้าวสุกแรกเก็บไว้ ตักข้าวกินกับน้ำพริก หรือ ปลาแห้งที่เก็บไว้ 
ลงมากวาดลานบ้าน ซักผ้า หาบน้ำที่ลำห้วย ออกไปหาฟืนหาไม้ มาเก็บไว้

ก่อนจะคดข้าวใส่กล่อง น้ำพริก ใส่ย่าม สวมที่ขาดวิ่น ใช้พร้าแทนไม้เท้าเวลาเดิน 
ข้ามห้วย ข้ามหนอง เข้าไปในป่าลึก ผ่านฝายเล็กๆ หรือคันนาที่ยายทำไว้ 11 ฝาย 
เป็นคันดินที่ยายใช้ "จอบกับใจ" ค่อยๆขุดขึ้นมา กลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆกักเก็บน้ำ 
พอให้สัตว์เล็กได้มาอาศัย ต้นไม้ชุ่ม ชื่น ระหว่างนั้นก็เอาข้าวมาโปรยให้สัตว์
ในแอ่งดินกันทำคันดินนี้เสร็จ ก็เข้าไปลึกเรื่อยๆ ที่ละฝาย ทีละฝาย
เวลาแต่ละวันผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ เหนื่อยก็พัก แล้วก็เดิน กลับบ้าน 
ชีวิตยาย เป็นไปอย่างเรียบง่าย

ทุก ๆ วันพระ ยายจะเดินลงมาจากเขา ด้วยระยะทางเกือบ 8 กิโล 
บวกกับวัยชราของยาย จึงทำให้ยายใช้เวลาใน การเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง 
แต่ก็ไม่ได้ทำให้ศรัทธาของยายเสื่อมถอยลง ลำพังคนหนุ่มสาว 
จะให้เดินขึ้นลงเขา สัก 7-8 กิโลเมตร ยังเ ล่นเอาเหงื่อตก 
แต่สำหรับยายยิ้มถือเป็นกิจวัตรสม่ำเสมอทุกวันโกน วันพระเพราะไม่ว่าฝนจะตก 
ฟ้าจะร้อง ยายก็ต้องไปถึงวัดไม่เคยขาด 

ระยะทางไกลที่เต็มไปด้วยหล่มโคลน ถนนเป็นร่อง ขรุขระ ยายยิ้ม 
จะออกเดินเท้าจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด เหนื่อยก็พัก ถึงวัดกี่โมงไม่รู้ 
รู้แต่เมื่อถึงวัดก็เปลี่ยนชุดชาว สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ทำความสะอาดวัด 
ทำบุญ เมื่อกลับจากวัด แกก็จะมานับวันหลังจากนั้นไปถึงวันโกนวันพระอีกที 
ก่อนที่เดินกลับบ้านในป่า ยายเลือกใช้ชีวิตเพียงลำพัง 
และใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอย่างมีความสุขอีกครั้ง

เราขาดในสิ่งที่ยายยิ้มมี นั่นคือ ความพอเพียง ความศรัทธา ความไม่โลภ 
เรามีในสิ่งที่ยายขาด นั่นคือ ความทุกข์

พิธีกร : ข้าวสารอาหารแห้งเอามาจากไหน
ยายยิ้ม : ลูกหลานเข้าเอามาให้ เขาเอามาให้ก็ต้องกิน 
เขาจะได้บุญและก็ต้องกินอย่างประหยัดๆ ไม่ฟุ่มเฟือย

พิธีกร : ฝนตกเปียกไหม
ยายยิ้ม : ก็หลบๆเอา ไม่ลำบาก อย่าคิดว่ามันลำบาก

พิธีกร : เสื้อผ้า ขาดแล้วยังใส่อยู่
ยายยิ้ม : ลูกหลานเข้าเอามาให้ ใส่ไว้เขาจะได้บุญ

พิธีกร : ลูกหลานอยากให้ไปอยู่ด้วยกัน
ยายยิ้ม : ไม่ใช่ว่าจะไม่พึ่ง แต่ให้หมดค่าก่อนค่อยพึ่ง ป่วยไม่สบายไม่มีแรงค่อยพึ่งเขา

พิธีกร : ทำฝายไปให้ใคร
ยายยิ้ม : ให้ในหลวงพระราชินี ท่านเป็นถึงเจ้าแผ่นดินยังทำงาน เราก็ต้องทำให้ท่านบ้าง..
ส่วนสิ่งที่ทำในหลวงไม่เห็นผีสางเทวดาก็เห็น

พิธีกร : ได้ประโยชน์อะไรจากฝาย
ยายยิ้ม : ในหลวงบอกมีฝายมีน้ำ มีป่า มีปลาเล็กเป็นอาหารนกอีกทีรวมถึงได้ใช้ยามหน้าแล้ง

พิธีกร : กลัวล้มไหมเวลาเดินไปไหน
ยายยิ้ม : กลัวแต่ก็ต้องทำ ทำแล้วมีความสุข

พิธีกร : เหนื่อยไหมที่ทำมา
ยายยิ้ม : เหนื่อย แต่ทำแล้วมีความสุข 

พิธีกร : เดินไปวัดลำบาก เหนื่อยไหม
ยายยิ้ม : เหนื่อยก็พัก แล้วเดินต่อ ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ เห็นพระก็หายเหนื่อย

พิธีกร : สรุปว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจ
ยายยิ้ม : คนอื่นว่าลำบากแต่ถ้าเราคิดว่ามันเป็นสวรรค์มันก็ไม่ลำบาก

พิธีกร : ยายมาทำบุญทุกวันพระไหม
ชาวบ้าน : ยายมาประจำแหละ ยายแกชอบทำบุญ ได้เบี้ยเดือน 500 แกยังทำบุญหมดเลย

พระ (กางมุ้งให้ยายนอนในศาลาวัด) : ไม่บาปหรอกยาย ช่วยๆกัน ดูแลกัน
ยาย (นั่งยิ้มด้วยความจำนน)
ยาย เอาเงินที่เก็บๆรวมถึงเงินที่ชาวบ้านให้ไว้มาทำบุญ
ยาย อวยพรให้และภาวนาให้คนที่ทำบุญด้วย

พิธีกร : ยายรู้จักเขาเหรอ
ยายยิ้ม : (ยิ้ม) ไม่รู้จักหรอก เห็นบอกว่าจะบวชก็เลยทำบุญ 
ให้ยายทำบุญนะ (สงสัยคงจะเป็นเงินที่ทางรายการให้)
พิธีกร : ทำเถอะยาย ไม่ว่าอะไรหรอก

พิธีกร : ยายมีของแค่นี้เหรอ (หยิบกระเป๋าใบเล็กที่บรรจุเสื้อผ้า หยูกยาที่จำเป็น บัตรประชาชน)
ยายยิ้ม : แค่นี้แหละเตรียมไว้ เวลาเจ็บป่วยขึ้นมา เอาไปใบเดียว คนอื่นจะได้ไม่ลำบากหา

พิธีกร : จะไม่เป็นการแช่งตัวเองหรือ
ยายยิ้ม : ยิ่งเจ็บ ยิ่งต้องพึ่งตัวเอง ยิ่งต้องเตรียมตัว

พิธีกร : เวลายายไปตัดไม้ไผ่ ทำฝายไม่เกินกำลังเหรอ เอาแรงมาจากไหน
ยายยิ้ม : หัวเราะเบาๆแล้วตอบว่า มันเกินกำลังอยู่แล้วล่ะ แต่ต้องมีความพยายามยายบอกวันนี้หมดแรง นอนพัก พรุ่งนี้แรงก็มาใหม่

พิธีกร : ยายยังขาดอะไรอีกในชีวิต
ยายยิ้ม : ยายยิ้มสมกับชื่อ แล้วตอบอย่างภาคภูมิใจว่า ขาดความทุกข์ 

ขอบคุณ รายการคนค้นคนที่นำเรื่องราวมาเผยแพร่
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก Facebook คุณ Sanya แทนคุณแผ่นดิน

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ปิดทองหลังพระ


กระแสพระราชดำรัสตอนหนึ่ง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

"...ต้องจำไว้นะ ว่างานทุกอย่างนั้นน่ะ มีด้านหน้าและด้านหลังเหมือนเหรียญบาท งานด้านหน้านั้นมีคนทำแยะ และแย่งกันทำ เพราะมีผลเห็นได้ชัดและก็ปูนบำเหน็จกันได้เต็มที่ แต่งานด้านที่ไม่ปรากฎแก่สายตาคนน่ะ ต้องเป็นคนที่เข้าใจงานและหน้าที่ของตัวจริงๆ จึงจะทำได้ และต้องเสียสละด้วย เพราะงานด้านหลังนั่นน่ะ เป็นงานปิดทองหลังพระ และต้องยอมรับว่าจะไม่ได้อะไรตอบแทน นอกจากความภูมิใจในการทำงานในหน้าที่ของตน จำไว้อีกอย่างหนึ่งคือ งานของพระมหากษัตริย์ที่แท้ส่วนใหญ่เป็นงานด้านหลัง..."

เพลงความฝันอันสูงสุด 
ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ

ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว

ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ

ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทนง

จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง

จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง
จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา

ไม่ท้อถอยคอยสร้างสิ่งที่ควร ไม่เรรวนพะว้าพะวังคิดกังขา

ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา
ไม่เสียดายชีวาถ้าสิ้นไป

นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง หมายผดุงยุติธรรมอันสดใส

ถึงทนทุกข์ทรมานนานเท่าใด
ยังมั่นใจรักชาติองอาจครัน

โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่ เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกหยัน

คงยืนหยัดสู้ไปใฝ่ประจัญ
ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทยฯ

เนื้อหาจากเพลงพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้สะท้อนให้คนไทยตระหนัก มุ่งทำความดีเพื่อปกป้องชาติจากอริราชศัตรู แม้ไม่มีใครรู้หรือเห็นก็ตามที
ผู้เขียนเคยอ่านหนังสือของท่าน วศิษฐ์ เดชกุฐชร อดีตนายตำรวจองครักษ์ เขียนเล่าว่า พระองค์เคยตรัสต่อท่านไว้ว่า การปิดทองหลังพระ เมื่อปิดมากๆวันหนึ่งทองจะล้นออกมาหน้าพระเอง 
ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่า..หมายถึงต้องมีคนเห็นทองที่ล้นออกมาหน้าพระเข้าสักวัน เฉกเดียวกับการทำความดี เมื่อเราทำบ่อย ทำมาก แม้วันนี้ไม่มีใครรู้เห็น แต่สักวันย่อมเป็นที่ประจักษ์ต่อผู้คน 
ดุจเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯที่ทรงงานอย่างหนักมาตลอดการครองราชย์ ด้วยพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ที่ตรากตรำทำงานเพื่อประชาชนได้อยู่ดีมีสุข ประเทศเข้มแข็งและยั่งยืน ยืนหยัดมาถึงวันนี้ และทั่วโลกได้ประจักษ์แล้วซึ่งความอัจฉริยภาพของพระองค์ ซึ่งคนไทยล้วนสำนึกรักในองค์พระมหากษัตริย์ สำนึกในพระมหากรุณาอันล้นพ้น เพราะพระองค์ทรงปิดทองหลังองค์พระปฏิมาตลอดมา 

แม้มีอริราชศัตรูคอยบั่นทอนพละกำลัง ทำความเสื่อมเสียต่อพระราชวงศ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม
แต่พระองค์ทรงมีพระราชจริยวัตรอยู่ในทศพิธราชธรรมอย่างเคร่งครัด 
ไม่ทรงย่อท้อ และไม่โต้ตอบแต่ประการใด 
ทุกวันนี้ คนไทยส่วนใหญ่ได้ตระหนักแล้วว่าการดำเนินชีวิตอย่างมั่นคงนั้นต้องเดินตามคำสอนของ
พ่อหลวงตามแนวพระราชดำริแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ชีวิตครอบครัว และชุมชนจึงจะเข้มแข็ง โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยหรือขอความช่วยเหลือจากภาครัฐบาล 

การเดินตามรอยเท้าอย่างที่พ่อทำและพ่อสอน ไม่เพียงแต่บุคลใดบุคคลหนึ่งจะเข้มแข็ง 
แต่ทุกครอบครัว ทุกชุมชน ก็จะเข้มแข็งและยืนหยัดอยู่ได้แม้จะเผชิญหน้ากับภัย
หรือความเดือดร้อนจากธรรมชาติหรือจากความชั่วร้ายจากศัตรู


(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต)




วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

หลงเงา


การได้รู้จักและสัมผัสกับคนหมู่มาก ทำให้เราได้เรียนรู้สัจธรรม ความจริง และหัวใจคนได้มากมาย
การยืนเฝ้ามองความเคลื่อนไหวของผู้คนอย่างเงียบเชียบ
ทำให้เรากลั่นกรองน้ำใสใจจริงได้ดีทีเดียว

ผู้เขียนไม่เก่งมากพอจะพิพากษาว่าใคร..ดีมีธรรมะที่สุด..เพราะมือถือสากปากถือศีลก็มีมากมาย
ตำรวจผู้รักษากฏหมายยังฝ่าฝืนกฏหมาย...
ไฉนเลย..คน...ธรรมดาจะไม่หลงเงาตัวเอง

ในรัศมีวงกลมรอบๆตัว..ยังมีส่วนประกอบของอากาศ คน หรือสิ่งของอีกมากมาย 
ถ้าจะก้าวออกจากจุดที่ยืน แน่นอนไม่มีทางเหยียบหัวตัวเอง และเคยนึกตระหนักถึงสิ่งที่วนเวียนอยู่รอบตัวเราหรือไม่ เคยคิดไหมว่ามี..มด แมลงหรือสิ่งใดอยู่ข้างๆเท้าเราหรือเปล่า ถ้าแม้นเผลอเหยียบโดยไม่ตั้งใจ..มันก็แค่ตาย เราก็ไม่อินังขังขอบกับความตายของสิ่งเล็กๆเหล่านั้นอีกตามเคย

แต่ถ้าหากใครสักคนล่วงล้ำเข้ามาเผลอเหยียบเงาเรา...ซึ่งบางครั้งอาจไม่ตั้งใจ แต่..ใจเราบอกกับตัวเองว่าไม่ได้สิ...ฉันต้องเอาคืน ขอไปเหยียบเงาเขาบ้าง
เพื่อสั่งสอนให้รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดเหมือนๆกัน

ผู้เขียนก็เคยเป็น..เพราะเขาทำเราเจ็บ เราขอเอาคืนให้เขาเจ็บได้เท่าๆเรา แต่ยิ่งดิ้นยิ่งเจ็บ ความโกรธเผาใจตัวเองจนหมองไหม้ กว่าจะหลุดพ้นความแค้นฝังใจ เสียเวลา เสียคน เสียเพื่อนและเสียศรัทธา

ความเจ็บปวด เจ็บใจที่เราไม่เคยก้าวไปให้พ้นทำให้... อหิงสา กลายเป็นอหิงสวน
ความสงบกลายเป็นสงคราม..เกิดความร้าวฉานขยายออกไปเกินจะควบคุม

เมื่อหยุดใจที่รุ่มร้อนและควบคุมจิตที่พลุ่งพล่านของตัวเองไม่ได้เสียแล้ว ..เราก็เดาไม่ออกว่าต่อไปจะควบคุมสิ่งใดได้อีก

เงา....มันก็แค่เงาที่เกิดขึ้นเมื่อมีแสง เมื่อความมืดปกคลุม..เงาก็จางหายไป ถ้าเรายึดมั่น ถือมั่น เงาก็จะบงการให้เราหลงทาง หลงตัว หลงอำนาจ..และเสื่อมด้วยตัวของเราเอง

เมื่อถึงเวลานั้น เราอาจโดดเดี่ยว และจะหันไปชี้ว่าใครผิด..คงไม่ได้

ในรัศมีวงกลมรอบตัว..จงพินิจพิจารณา ให้ถ้วนทั่ว..ไม่มัวลุ่มหลงเงามืดของตัวตน

และสงบ สันติและอหิงสา..ก็จะนำไปสู่..แรงศรัทธาและสันติภาพ




วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คุ้งกระเบน ป่าชายเลนในโครงการพระราชดำริ จันทบุรี


เมื่อคิดจะไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งหนึ่งน้อยครั้งนักที่เราจะนึกถึงป่าชายเลน 

และหลายปีก่อนเพื่อนๆกลุ่มชวนกันเที่ยว..ชวนกันไปเที่ยวอุทยานหมู่เกาะชุมพร จังหวัดชุมพร ท่ามกลางมรสุมที่คนบนฝั่งเตือนและบ่นกันแล้วบ่นกันอีก แต่ความตั้งใจไม่เลิกรา ยิ่งเมื่อออกกลางทะเลท้องฟ้าสดใส ยิ่งทำให้เราตื่นเต้นลืมความกลัวโดยสิ้นเชิง 
หลังจากดำน้ำดูปะการังสวยงามกันอย่างสะใจ คุ้มกับเวลา ๒ คืน ๓ วัน ยังได้มาเดินชมบรรยากาศธรรมชาติศึกษาที่ร่มรื่นและสวยงามของป่าชายเลนพร้อมกับศึกษาความเป็นธรรมชาติของป่าโกงกาง แสม ลำพู และการขยายพันธ์ รวมทั้งสัตว์ทะเลที่พึ่งพาอาศัยธรรมชาติอยู่ร่วมกันอย่ร่วมกันอย่างกลมกลืน 


เพราะเราคุ้นเคยแต่การคิดว่าหนาวนี้ไปภูที่ไหนดี หรือจะไปปีนดอยใดให้สะใจ  หรือวางแผนไปถึงปีหน้าเขาที่ไหนน่าไปและต้องไปให้ได้

แต่คราวนี้...ตั้งใจไป จังหวัดจันทบุรี เพราะมีงานสละโสดของหัวหน้าทีมเที่ยวของกลุ่ม   
เวลานัดหมายออกจากกรุงเทพฯตอนตี4.30 น.เพราะเผื่อสาย เป็นความตั้งใจของเพื่อนๆ ที่เคยชิน 
กับการนอนตื่นสายในวันหยุด เมื่อต้องตื่นเช้ามากขนาดนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่แต่เราก็เดินทางตอนเช้าได้อย่างอัศจรรย์ใจ 

เสร็จงานพิธีการตามประเพณีไทยในบ่ายวันนั้น เราเข้าที่พักเพื่อรองานงานเลี้ยงตอนเย็น... คงเพราะกลุ่มเราเคยแต่นอนเต๊นท์ นอนเปล ตามป่าตามเขา  เจ้าบ่าวงานนี้เลยเตรียมที่พักเป็นบ้านพัก
ในอุทยานน้ำตกพลิ้ว ซึ่งใกล้ชิดธรรมชาติ นอนฟังเสียงน้ำตกกันอย่างสุนทรีย์  

 วันรุ่งขึ้นหลังจากอิ่มท้องจากอาหารทะเลมื้อกลางวันแล้วเราคิดวางแผนกันว่าจะแวะเที่ยวที่ไหนก่อนดีเพื่อไม่ให้เสียเที่ยวตามประสาคนรักธรรมชาติ ก่อนเดินทางเข้ากรุงเทพฯ  

 ในที่สุด คุ้งกระเบน อ่าวเจ้าหลาว เป็นตัวเลือกไม่มีใครค้าน 

อ่าวคุ้งกระเบน หรือศูนย์การศึกษาพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน  
โครงการพัฒนาป่าชายเลนเสื่อมโทรมตามพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ 

แต่เดิมนั้น อ่าวคุ้งกระเบน เป็นป่าชายเลนเสื่อมโทรม จนกระทั่งเมื่อ 28 ธันวาคม พศ.2524 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวฯทรง พระราชดำรัสต่อผู้ว่าราชการจังหวัด..ให้พิจารณาพื้นที่เหมาะสม
 จัดทำโครงการพัฒนา ด้านอาชีพการประมงและการเกษตรในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลและจังหวัดจันทบุรี  
ซึ่งในคราวนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเงินที่ราษฎรจังหวัดจันทบุรีทูลเกล้าฯถวายเป็นทุนเริ่มดำเนินการ 

ดังนั้นในปี พ.ศ. 2525 จังหวัดจันทบุรีได้จัดตั้ง ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน ต.คลองขุด อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่  

และพื้นที่บริเวณใกล้เคียง เป็นสถานที่ฟื้นฟูดูแลสภาพแวดล้อมของชายฝั่งทะเล ให้มีสภาพสมบูรณ์ต่อมาได้พัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและได้รับรางวัลอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ปี 2545 ประเภทองค์กรส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยว 



อ่าวคุ้งกระเบน ป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ และผู้มาเยี่ยมเยือนได้สนุกสนานเพลิดเพลิน  กับการเดินชื่นชมบรรยากาศสัมผัสเรียนรู้กับพืชพรรณป่าชายเลนที่มีมานานกว่า 200 ปี และทั้งที่ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทอดน่องเรื่อยเปื่อยไปตามสะพานไม้ทอดยาวไกลไป จนสิ้นสุดระยะทาง 1600 เมตร เพื่อสูดกลิ่นอายความบริสุทธิ์ของอากาศ เย็นสดชื่น และความร่มรื่นตลอดเส้นทาง


นอกจากบรรยากาศร่มรื่น และทิวทัศน์สวยงามระหว่างทางเดิน เรายังได้ความรู้เกี่ยวกับชื่่อพันธ์ 
ไม้ของป่าชายเลน ไม่ว่าจะเป็น โกงกาง แสม ประสักดอกแดง ลำพูทะเล และโดยป้ายบอกรายละเอียด  
ไว้ตามต้นไม้ชนิดนั้นอย่างชัดเจน มีศาลาพักระหว่างทางเป็นระยะๆ และให้ความรู้เกี่ยวกับ ป่าชายเลนและธรรมชาติของป่าทุกๆจุดเช่นกัน นอกจากนั้นเรายังสนุกสนานกับการถ่ายรูป เพราะหลายๆมุม สวยงามมากจนอดใจไม่ไหวที่จะเปลี่ยนจากตากล้องมาเป็นนางแบบเสียเอง  

นอกจากนี้ยังมีสัตว์น้ำทะเล..ทั้งปลาตีน ปูก้ามดาบวิ่งเล่นซุกซนกันอย่างสนุกสนาน ชวนให้ผู้มาเยือนรู้สึกเพลิดเพลินใจไปด้วย 
ในอดีตอ่าวคุ้งกระเบนอุดมสมบูรณ์ไปด้วยหญ้าทะเล ดังนั้น จึงเป็นแหล่งที่หลบภัยและวางไข่ ของสัตว์ทะเลหลายชนิด โดยเฉพาะ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่เรียกว่า พะยูน หรือหมูดูด หรือวัวทะเล 
แต่ปัจจุบัน สัตว์ชนิดนี้สูญพันธ์ไปแล้วเหลือแต่ อนุสรณ์ และตำนานเล่าต่อกันมา


ในพระมหากรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ชาวจันทบุรีจึงมีอู่ข้าว อู่น้ำ มีลมหายใจที่บริสุทธิ์ เกิดขึ้นอีกแห่งหนึ่งแล้ว

ในความเป็นจริงมนุษย์เราไม่ค่อยตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติ ไม่สนใจในสิ่งที่พ่อหลวงของแผ่นดินทรงคิด แก้ และปฏิบัติจนกระทั่งได้เห็นผลสำเร็จแล้วอย่างมากมาย แต่มุ่งให้ความสำคัญกับบริโภคนิยม วัตถุนิยม หลงติดอยู่กับความศิวิไลซ์ จนเกินควรและนำความเสียหายมาให้บ้านเมืองมานับครั้งไม่ถ้วน


ศ. ดร. สนิท แก้วอักษร นักวิชาการชาวไทยที่ศึกษาวิจัยป่าชายเลน 
ได้ให้นิยามความสำคัญของป่าชายเลนไว้มากมาย โดยเปรียบป่าชายเลนว่าเป็นเสมือน "บ้าน" 
ของพันธุ์สัตว์น้ำและพันธุ์พืชนานาชนิด ที่ใช้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์และเจริญเติบโต เป็นเสมือน "ครัว" 
ซึ่งได้ธาตุอาหารหล่อเลี้ยงชีวิตพืชและสัตว์จากเศษใบไม้ที่หลุดร่วงสลายเป็นอาหารในดิน เป็นเสมือน "โรงบำบัดน้ำเสีย" 
เนื่องจากรากและลำต้นของพันธุ์ไม้ชนิดต่างๆ เป็นด่านกรองสิ่งปฏิกูลในน้ำก่อนที่จะไหลลงสู่ทะเล
 เป็นเสมือน "โรงยา" 
ด้วยพืชหลายชนิดมีสรรพคุณทางสมุนไพรบำบัดอาการของโรคต่างๆ ได้ดี เป็นเสมือน "ปอด"
เนื่องจากสภาพธรรมชาติที่ร่มรื่น ช่วยให้อากาศบริเวณชายฝั่งทะเลสะอาด บริสุทธิ์ เป็นเสมือน "สะพาน" ที่เชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ชายฝั่งและทะเล และที่สำคัญ คือ เป็นเสมือน "อู่ข้าวอู่น้ำ"
ของประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งได้ทำประมง และใช้ประโยชน์จาพืชนานาพันธุ์เพื่อการดำรงชีวิต ป่าชายเลนจึงเปรียบเสมือนลมหายใจของสิ่งมีชีวิตที่ต้องดำรงอยู่อย่างพึ่งพาอาศัยกันอย่างสมดุลตามธรรมชาติ แต่ในระยะหลายสิบปีที่ป่านมา สภาพป่าชายเลนตามแนวชายฝั่งด้านอ่าวไทยและด้านทะเลอันดามันถูกทำลายไปมาก ซึ่งหากปล่อยปละละเลยกันต่อไป อาจเกิดผลกระทบที่จะสร้างความเสียหายต่อสมดุลทางระบบนิเวศธรรมชาติมากเกินกว่าจะแก้ไขได้ทัน และป่าชายเลนอาจกลายเป็นเพียงภาพในอดีตที่เคยปรากฏบนผืนแผ่นดินไทยเท่านั้น

ข้อมูลอ้างอิง

http://www.rspg.or.th/articles/mangrove/mangrove_1.htm