วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

เบื่อตัวเองบ่น บ่นตัวเองเบื่อ


เป็นเพราะวันเวลาที่ผ่านมาหลายต่อหลายเดือน
ไม่รู้ตัวเองทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับอะไรบ้าง วันๆผ่านไปโดยไม่รู้วันเวลา
รู้ตัวเมื่อถึงเวลาจบภารกิจในเรื่องของงาน ผ่านไปเมื่อความมืดคืบคลานมาเตือนตัว
และรู้สึกตัวเมื่อถึงเวลาเตือนว่าต้องพักผ่อนเพื่อผ่านวันไปอีกวันหนึ่ง
ในวันเวลาที่ล่วงเลย ทั้งสุข เศร้า ทั้งทุกข์ ทั้งรัก โกรธ โลภ หลง ผ่านมาสัมผัสจิต

........บางทีบ่นเบื่อตัวเอง.........ที่แอบเหงา...แอบสุข และ...แอบเศร้า 


ทำไม??
ไม่ปล่อยทุกอย่างให้ลอยผ่านไปกับสายลมที่พัดผ่าน..
ปล่อยทุกอย่าง...ผ่านไปโดยไม่ยึดติดความทุกข์ ไม่ยึดติดความสุข
ไม่หลงติดลมกับบรรยากาศของภาพมายาที่ใครๆ หลอกล่อให้ติดกับของกันและกัน

ซึ่งสุดท้ายแล้ว เราต้องติดกับ..ตัวเอง

จะถอยสักก้าวยังทุกข์ จะก้าวต่อไป ก็เห็นทุกข์ลางเลือน เห็นสุขเพียงชั่วยาม
ทั้งในวันสุข วันเศร้า...
...ทำได้เพียงปลอบใจ..ให้กำลังใจตัวเองและ
บ่น บ่น และบ่นกับตัวเองเท่านั้นเองหรอกหรือ?

และถ้าเราเลิกหลอกตัวเอง...
คงไม่มีใครหลอกเราหลงทางเดินวนเดินเวียน
บนเส้นของความทุกข์และสุขได้
********************************************************


ความสุข คือ ความไม่ต้องการความสุข

ความดับทุกข์ ต้องแลกเอาด้วยการไม่ต้องการความสุข.
พระนิพพาน อยู่เหนือความต้องการสิ่งใดๆ แม้แต่นิพพานเอง
ความสุขอย่างยิ่ง คือความดับเย็น แห่งความต้องการทั้งปวง
ดังนั้น ความสุขแท้ จึงมีเมื่อเราไม่ต้องการความสุข!
โดย....พระพุทธทาสภิกขุ

(เก็บบันทึกเก่าๆมาอ่าน และบันทึกซ้ำ จาก 
24 พฤศจิกายน 2553)

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

คือการเดินทางของสายลม




หน้าที่การงาน จบวัน การเดินทางยังไม่หยุดแค่จบวันทำงาน 
กว่าเดินทางถึงบ้านพัก ความคิดล่องลอยไกลกว่าบ้านที่ซุกหัวนอนในยามค่ำคืน

ความคิด คำคน บางครั้ง บางคนพาให้วนเวียนอยู่ในสมอง หัวใจ 
ปัญหาบางอย่างยังไม่ผ่านการแก้ไข
อารมณ์ของบางคนยังพุ่งแรง กระแทกกันเอง กระแทกตัวเอง 

ความเครียดผ่านมาเยือน แม้ความเหนื่อยหนักผ่านไป แต่สมองกลับตึงตื้อ
การพักผ่อนนอนหลับจึงกลายเป็นเรื่องเล็ก

ดังนั้นการควานหาความความบันเทิงใจอาจเกิดขึ้นบ้างเพื่อความสุขเล็กๆน้อย
ดีกว่าเย็นชาจนไร้ชีวา
สัมผัสนิ้วผ่านแป้นพิมพ์ ผ่านไป พบความไม่สมหวังของความรักในอดีตของใครสักคน
ที่บันทึกไว้ด้วยความโศกเศร้า 

เรื่องของความรัก มักเป็นความเจ็บปวดหัวใจของ..คน..ของชีวิต 
บนพื้นฐานของการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

บางครั้ง ความรักถูกเปรียบเป็นสายลม เป็นคลื่นทะเล ที่พัดพา..
หรือซัดพาเอาฟองคลื่นมาสัมผัส 
กอดรัดผืนทรายเพียงชั่วยามและพัดหอบเอาเม็ดทรายจากไป  หรือปลิดเอาขั้วใบร่วงกราว

ฝากไว้แต่รอยน้ำตา และบาดแผลความอาลัยในรักระหว่างกัน

 คือการเดินหลงทางของสายลม" 

ทุกๆวัน..ลืมตาตื่นมาพร้อมกับความวังเวง..เงียบเหงาและคิดถึง

บางวันก็อยากซุกอยู่กับตัวเองเช่นนั้นแม้..ไม่มีความสุข
บางวันก็อยากปัดสลัดความรู้สึกย่ำแย่นั้นออกไปให้พ้นๆไปเสียที
แต่มันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว..ความรู้สึก วนๆเวียนๆอยู่กับความรู้สึกเดิมๆ ความทรงจำเก่าๆ ภาพของคนรักกัน ความรู้สึกดีๆ ความสวยงามของความสุข ความเจ็บปวด เสียใจ อาวรณ์ในรัก..ผลัดกันเดินทางเข้ามาทักทาย..ตลอดเวลา

ลมหอบเอารักมาอบมาอวล ล่องลอยวนอยู่ในบ้านเพียงชั่วยามและลมก็หอบเอารักจากไป..
ทิ้งความร้อนรุ่มไว้รอบรั้วบ้าน ไร้ลมฝน ไร้ละอองของลมหนาว ไร้กลิ่นละอองของมวลบุปผา
ความรัก..มีอานุภาพทำให้คนๆหนึ่งซื่อสัตย์ต่อรัก..
แม้คนๆหนึ่งจะเห็นแก่ตัวและทรยศต่อมันก็ตามที

ความรักมักกระซิบกับตัวเองเสมอ..
ว่ารักคือรัก รักคือความเข้าใจ รักคือความซื่อสัตย์ รักคือความงดงาม..รักคือรักตลอดไป...

แต่ความรักมักตะโกนก้องบอกคนบางคน บอกใครสักคนว่า..
รักคือการเดินหลงทางของสายลม

เรื่องและภาพ จาก คือการเดินทางของสายลม
http://www.welovethekingradio.com/blog/blog.php?action=view&blogger=Tonraka&entry=0208111347 


ถ้าสายลมหอบเอาไอรักหลงทางบ่อยๆ
 ฉันคิดว่า..คงเป็นสายลมแห่งความระเริงหลงทางกรรม

วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555

เกิดกับใจ อยากให้จบลงที่ใจ

ในที่สุดการเดินทางของ..คน..ก็จบลงในบางบทบาทของชีวิต

สำนวนฝรั่งบอกว่า..
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา

ความรัก บางคนบอกว่ารักกันตลอดไป มีจุดหมายปลายทางที่อยากจะรักชั่วนิรันดร์ แต่สุดท้าย รักก็จบ บางคนก็จบอย่างสวยงามและโรแมนติก บางคนก็จบอย่างเจ็บปวด บางคนก็จบเพราะพลัดพรากจากกัน สุดท้ายคือ..จบ

เวลาและภารกิจ ณ เมืองเชียงใหม่
จบสิ้นแล้ว 
หลังจากเจ้านายยื้อเวลา จาก 2 สัปดาห์มาเป็น 2 เดือน ในที่สุด ความอดทนก็จบลงพร้อมกับหมดเวลายื้อกันต่อไป พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า เกิดแตกหักกันระหว่างงาน เจ้านาย และลูกน้อง
แต่หมายถึงผู้เขียนเอง หมดเวลาปรับตัวและอดทน หมดใจที่พักอาศัยต่อไปในที่ๆยังคิดตลอดเวลาว่าไม่ใช่ที่ๆของเรา ไม่ใช่บ้านของเรา ทั้งที่บ้านหลังนี้ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นไอความเมตตา เอ็นดูต่อเราเสมือนลูกและหลาน ความเอื้ออาทรและแบ่งปันจากน้ำใสใจจริงจาก บุคคลครอบครัวของเจ้านายทุกคนและเพื่อนร่วมงาน อ้อมกอดในวันร่ำลา อบอุ่นแต่ก็เศร้า เดินไปลูบหัวเจ้าแครช สุนัขพันธ์ลาบาดอร์ขี้อ้อน ร่ำลาดอลล่า บางแก้วผู้มีฟอร์มและดุนักหนา สีทองสุนัขพันธ์ไทยยังเป็นเด็กน้อยผู้มีบุญเห่าบ๊อกแบ๊กอยู่ในอ้อมกอดของอ่าม่า 


บางครั้งจิตที่คิดว่าแกร่งๆ เก่งๆ บทจะรั้นก็ยอมสยบให้ความรู้สึกหมดใจเสียง่ายๆ สิ่งดีๆ ที่คนรอบข้างหยิบยื่นให้..ไม่มีความหมาย ที่จะยื้อใจของเราได้อีกต่อไป

ก่อนกำหนดเวลากลับ 2 สัปดาห์ สุขภาพเริ่มรวน การทำงานของร่างกายและจิตใจเริ่มพยศในเวลาเดียวกัน เล่นงานผู้เขียนเสียจนแทบแย่ บางอารมณ์และความรู้สึกอยากร้องให้ในความเดียวดาย แต่ด้วยความอดทนของตัวเองที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ไม่ได้คิดแม้แต่จะโทรศัพท์บอกเล่าให้คนในครอบครัวได้รับรู้ หรือแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครได้แลเห็น..ยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานจนจบภารกิจ อาจมีบ้างในบางครั้งสมองเบลอเลอะเลือนจนคุยกับเจ้านายคนละเรื่อง จนเจ้านายบอกว่า..ตั้งสติดีๆ ท่าจะเยอะไปแล้วนะเรา เอ่อ...เขาคิดว่าเราเยอะ ไม่คิดว่าบ้างว่าเรากำลังจะหมดแรงเยอะ 

อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เชียงใหม่
แต่เมื่อถึงวันนี้..เช้านี้ เปิดประตูเข้ามายังที่ๆของเรา รอบๆตัวอบอวลไปด้วยสิ่งที่เป็นของเรา หันไปทางไหนก็มีแต่สิ่งที่เรารัก ภาพถ่ายระหว่างเราและคนเคยรัก หนังสือกองโตๆ บนชั้นวางที่รอเรากลับมารื้อมาค้นอ่านหาข้อมูลด้วยความคิดถึง ภาพถ่ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่เหลือบตาจากคอมฯขึ้นไปก็ได้แลเห็นพระองค์ยังทรงประทับอยู่ ณ ตรงนั้น เปิดวิทยุ โทรทัศน์ ทักทายและอยากขอบใจยังอยู่ต้อนรับการกลับของเรา จัดแจงปัดฝุ่น เช็ดคราบฝุ่นละอองที่ล่องลอยเข้ามายึดเป็นที่พักผ่อนกันเยอะแยะมากมาย  และขึ้นเตียงเพื่อพักเอาแรง ให้เวลาร่างกายได้พักผ่อนอย่างมีความสุขกับสิ่งที่เป็นของๆเรา มิใช่ของๆใคร พักหัวใจอันอ่อนล้ากับการที่ได้กำหนดจิต บังคับใจให้อยู่อย่างมีความสุขกับสิ่งที่มิใช่ของๆเรา มาเป็นเวลานาน
ทำบุญไถ่ชีวิตโคร่วมกับอาม่า(คุณแม่เจ้่านาย)ในวันมาฆบูชา วัดชัยมงคล เชียงใหม่
ในที่สุด ผู้เขียน ก็ยังคงยึดติดและมีความสุขกับสิ่งของที่เป็นของๆเราอยู่อย่างนั้น 
แม้ได้พยายามเตือนตน เตือนสติ เตือนใจตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า..ใจเรานี่สำคัญเสียจริง


"สำคัญที่ใจ" - หลวงพ่อชา สุภัทโท


ใจของเราสำคัญมาก

มันเป็นนายของกายเป็นนายของทุกสิ่ง ทุกอย่าง

ถ้าใจดีทุกอย่างจะดีหมด ถ้าใจเสียทุกอย่างจะเสียหมด 

ถ้าใจร้ายก็มีแต่ของที่ร้ายๆ ทั้งนั้น

ฉะนั้นจึงจำเป็น ต้องฝึกจิตใจของเราด้วยการปฏิบัติภาวนา 


วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

สัมผัสเชียงใหม่.และเสียดาย..ที่ไม่มีเธอ..

ความสงบ ในมุมของพระศาสนา

ในความรู้สึก ในความคิดเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า
ของตัวเอง 
ในความโดดเดี่ยว ที่ยืนหยัดด้วยตัวเอง
 ตลอดมานับตั้งแต่เด็ก 
ในความจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับปัญหา น้อย 
ใหญ่ ตามลำพัง 

คิดเสมอ เชื่อตัวเองตลอดเวลา ว่าไม่มีทางจะอยู่ร่วมบ้าน ร่วมครอบครัว ร่วมกับใครได้
แม้แต่ครอบครัวของตัวเอง เพราะเคยชินกับการอยู่ลำพัง คิดเอง ตัดสินใจ
 แก้ปัญหาด้วยตัวเองตลอดมา

บางครั้งในความอ่อนโยน แต่ก็ซ่อนความเด็ดขาดและแข็งกร้าวไว้ในหัวใจและแววตา

เมื่อถึงวันที่ต้องตัดสินใจเดินทางไปทำงานที่เชียงใหม่ชั่วคราว 
ในช่วงเวลาที่มิอาจเลือกทำหรือไม่ทำสิ่งใดได้ การ เดินทางไปกับเจ้านาย เพื่อนเจ้านาย ในความอึดอัด ที่พยายามซุกซ่อนไว้ในใจ

ในความอึดอัดเมื่อเพื่อนเจ้านายเดินทางกลับ เหมือนตัวเองโดดเดี่ยวอีกครั้ง ท่ามกลางผู้คนไม่คุ้นเคย ตั้งแต่เพื่อนร่วมงาน จนถึงผู้ร่วมอาศัยในรั้วบ้านเดียวกัน

ในวันแรกเรากำลังเป็นคนแปลกหน้า แปลกตาต่อกันและกัน 
คราวแรกความคิดหวาดวิตกกังวลยังติดค้างในใจ 
เมื่อเวลาผ่านไปเพียงชั่ววันเดียว ฉันรู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษในการปรับตัวเข้ากับทุกคนได้อย่างรวดเร็ว 
เริ่มจากน้องนุชบัญชี ในความไม่รู้เรียกหาเธอผู้เดียว ในความไม่รู้ของเราทั้งสองต่างพากันมั่วจนกระทั่งเรียนรู้และทำได้สำเร็จไปพร้อมๆกัน 

ในความวิตกกังวลเรื่องอาหารการกินและความเป็นอยู่ ร่วมกับครอบครัวเจ้านาย กลายเป็นเรื่องเล็กเมื่ออาม่าและพี่สาวเจ้านายที่ดูเหมือนเป็นคนแข็งๆ คล้ายกับไม่เอาใคร คล้ายกับไม่มีน้ำใจ แต่กลายเป็นคนที่มีน้ำใจกับเรามากที่สุด ทั้งพี่สาว ทั้งอาม่า ต่างก็ให้ความคุ้นเคย และเมตตากับเราไม่ต่างกับลูกหลานของเขาเลยทีเดียว 

วันหยุดก็หาเรื่อง ออกจากบ้านไปตามประสา ไปตามลำพัง นั่งรถประจำทางไปเองบ้าง น้องที่ทำงานพาไปวัดที่อยากไปด้วยความไม่รู้ทั้งเขา ทั้งเรา ขับรถปีนเขาขึ้นไปด้วยความกลัว ตื่นเต้น แต่น้องนิบอกว่าคุ้ม..
เป็นความสุขที่ฉันไขว่หาได้โดยไม่ต้องง้อใคร
อากาศที่เชียงใหม่ยังคงหนาวเย็นทุกๆเช้า และกลางคืน 
บางครั้งก็มีความสุขจนกระทั่งลืมกรุงเทพฯ
บางครั้งก็เครียดจนไมเกรนเรียกหา อยากหนีกลับกรุงเทพฯภายในคืนเดียว
แต่ก็ยังไม่หนักหนาสาหัสจนทนไม่ได้ เพราะโดยรวมแล้ว ความสบายใจมีมากกว่าความอึดอัดใจ

วันดีคืนดีเจ้านายก็บอกให้ดีใจว่าจะส่งกลับกรุงเทพฯแล้ว 
วันถัดมาเจ้านายบอกว่ายังไม่พร้อม และผลัดไปวันแล้ววันเล่า แต่ไม่ได้ทำให้ความสุขลดน้อยลง
เพราะนั่นคือ..เป็นการยืดเวลากับการกลับไปเผชิญกับความรู้สึกอื่นๆอีกมากมายที่ยังมิอาจอธิบายได้ว่า..จะรับไหวหรือไม่ไหวกับบางสิ่งบางอย่างที่อาจทำให้ตัวเองรู้สึกแย่กว่าการอยู่กับคนแปลกหน้าที่กลายเป็นความผูกพันเพียงวันเวลาไม่เท่าไร

เป็นความรู้สึกดีๆ เมื่อเพื่อนร่วมงานให้ความร่วมมือ มีน้ำใจ ต่อเราอย่างจริงใจ พูดให้เราเชื่อมั่นว่าเขาต้องการเราทำงานร่วมกับเขาตลอดไปอยู่เสมอ และความจริงใจของคนมักสื่อผ่านจากน้ำเสียง
และแววตาของเธอ ของเขา

หรือเพราะแรงจิตอธิษฐานขอพรจากพระ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง จากวัดทุกแห่งที่ฉันมีโอกาสได้เยี่ยมเยือน ทุกคราวที่มีโอกาสได้ไปนั่งพนมมือตรงหน้าพระประธาน หรือก้มลงกราบพระพุทธรูปเก่าแก่ ฉันขอเพียงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่จริงในเมืองนี้จงปกป้องคุ้มภัย ขอให้ความรักและเมตตาจงแผ่รัศมีไปถึงผู้คนทุกคนที่ได้พบได้เจอ จงบังเกิดต่อเขา จงบังเกิดต่อเรา ขอจงบังเกิดต่อกันและกัน



จากวันที่ไม่เคยคิดอยากอยู่เชียงใหม่ แม้จะสัมผัสได้ว่าที่นี่..อากาศดี ยังคงมี บรรยากาศและกลิ่นไอวัฒนธรรมล้านนากระจายอยู่ทั่วเมือง  จนถึงวันนี้ และหลายๆวันที่ผ่านมา นั่งรถผ่านบ้านสไตล์ล้านนาหลังย่อมๆ มองผ่านเข้าไปเห็นความงดงาม หน้าประตูรั้วบ้านแขวนป้ายประกาศขายด้วยลายมือโย้เย้ ฉันนึกอยากได้ ผ่านไปหลายครั้งมองเข้าไปให้ลึกเท่าที่สามารถมองเห็น และคิดเสียดายตั้งแต่ครั้งแรกที่แลเห็น และบ่นเสียดายทุกครั้งที่ผ่านไป..เสียดายที่ไม่มีตังค์