วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ใบไม้ยามใกล้ปลิดปลิว



บรรยากาศยามเช้าที่นี่ ต่างจากยามเช้าที่เมืองกรุง เมื่อฟ้าสางเราก็เริ่มได้ยินเสียงนกกรงหัวจุกขับขาน แว่วมาจากบ้านพักเจ้าหน้าที่ฝั่งใกล้เคียง คนใต้นิยมเลี้ยงนกกรงหัวจุกและนกเขากันเป็นจำนวนมากทั้งเพื่อใช้ในการแข่งขันซึ่งเป็นกีฬาชนิดหนึ่ง บ้างก็เป็นธุรกิจซื้อขายกันในราคาสูงลิบลิ่วหากมีเสียงและลักษณะดี บ้างก็เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเล่นแก้เหงา

เช้านี้ฟ้ายังอึมครึมหลังฝนตกลงมาเมื่อคืน เรายังคงอยู่โรงพยาบาล มาทำหน้าที่ของลูกดูแลบุพการีเมื่อต้องเจ็บป่วยโดยไม่เคยเกี่ยงว่าใครเป็นลูกพ่อบ้าง บรรยากาศเงียบปลอดจากความวุ่นวาย หมอยังต้องให้เฝ้าดูอาการต่อไป อาการปอดอักเสบดีขึ้นแล้วแต่น้ำท่วมปอดยังต้องคอยเฝ้าระวัง หมอสั่งฉีดยาขับปัสสาวะเพราะน้ำท่วมปอด เฝ้ารอดูอาการวันต่อวัน แต่วันนี้พ่อมีอาการเหนื่อยน้อยลง แม้ยังต้องพ่นยาอยู่แต่ถอดสายออกซิเจนแล้วพ่อก็ยังอยู่ได้

พ่อเคยสูบบุหรี่และเลิกบุหรี่เมื่อประมาณ ๒๐ กว่าปีก่อน เพราะพ่อมีอาการไอเป็นเลือดหมอสั่งเลิกบุหรี่ มาถึงวันนี้พ่ออายุ ๘๓ ปี แต่ยังมั่นใจว่าตัวเองยังเป็นคนเก่ง มีความสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเองอีกมากมาย อย่างเช่น ทำเปรี้ยวขับรถมอเตอร์ไซด์เข้าในเมืองได้บ่อยๆ ลูกๆหลานอย่าได้บ่นหรือห้ามพ่อทำอะไรหรือจะทำอะไรให้ เพราะจะไม่เป็นที่ถูกใจ ทุกอย่างต้องไปทำด้วยตัวเอง จึงมักจะประสบอุบัติเหตุขับรถไปชนเขาอยู่เรื่อยๆ แต่พ่อไม่เคยหยุด รักษาตัวหายดีเมื่อไหร่พ่อจะรีบซ่อมรถและหาเรื่องออกจากบ้านได้อีก ไม่มีใครจัดการยกรถกลับจากโรงพักเพื่อไปซ่อมพ่อก็จัดการด้วยตัวเอง เราจะบ่นมาก พูดมาก ห้ามเยอะ ก็เท่านั้นเพราะพ่อไม่ฟัง ไม่เชื่อและไม่หยุด สุดท้ายเราก็เครียด หงุดหงิดเสียเอง ญาติๆพี่ๆน้องๆจึงบอกว่าปล่อยไปเลยแล้วกัน เป็นอะไรค่อยรักษากันไป ปกติพ่อเจ็บเข้าโรงพยาบาลเพราะอุบัติเหตุ แต่คราวนี้ พ่อต้องนอนโรงพยาบาลหลายวันเพราะอาการป่วยหลายอย่าง พ่อมีอาการหอบทั้งที่ไม่เคยเป็น และขาบวม  หมอบอกว่าพ่อติดเชื้อในกระแสเลือด และหัวใจรั่ว หัวใจโต หลังจากนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลยังพบอาการปอดติดเชื้อ น้ำท่วมปอด และโรคเก๊าท์  แต่เพราะพ่อเคยเป็นคนแข็งแรง ไม่เคยมีโรคภัยมาก่อน วันนี้พ่อก็ยังดูดีกว่าชายชราวัย ๘๓ โดยทั่วไป ยังสามารถลุกเดิน ยังช่วยเหลือตัวเองได้ แม้ภูมิต้านทานโรคจะทำงานน้อยลงก็ตาม  และพ่อคงได้เรียนรู้ด้วยตัวเองแล้วว่าออกจากโรงพยาบาลคราวนี้ พ่อจะลุกขึ้นจ๊อกกิ้งรอบบ้านไม่ได้ พ่อจะขนดิน ขนทรายเองไม่ได้ พ่อจะรดน้ำผักโดยไม่ใช้สายยางไม่ได้แล้ว ทุกอย่างที่พ่อเคยทำพ่อจะไม่สามารถทำอะไรได้อีก พ่อจะดื้อแพ่งกับลูกหลานไม่ได้อีกแล้ว

โรงพยาบาลหนองจิก จังหวัดปัตตานี เป็นโรงพยาบาลเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองเพียงสิบกว่ากิโลเมตร โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักถูกส่งเข้าโรงพยาบาลจังหวัด ดังนั้นที่นั่นจึงมีคนป่วยร้อยแปดพันเก้า  น้องสาวพาพ่อมาส่งโรงพยาบาลนี้เพราะพ่อมีอาการหอบรุนแรงและใกล้มือหมอมากกว่า  เมื่อทราบว่าพ่อเป็นอะไรยังบอกน้องชายว่าหากไม่สู้ดีย้ายพ่อเข้าในเมืองดีกว่า หลังจากน้องชายนอนเฝ้าพ่ออยู่ในห้องรวมหนึ่งคืน หมอบอกว่าต้องรอผลเอ๊กซเรย์หัวใจ เอ๊กซเรย์ปอด และเก็บเสมหะอีกสามวัน น้องชายจึงจองห้องพิเศษไว้ เมื่อฉันเดินทางมาถึงจึงไม่ต้องจัดการอะไรอีก ผลัดเปลี่ยนให้พี่สาวได้กลับไปไปดุแลครอบครัว ต่อมาหน้าที่ในการดูแลจึงเป็นของฉันอีกตามเคย ซึ่งตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาลมากกว่า ๓ วันและยังต้องอยุ่ต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาชัดเจน

แต่โรงพยาบาลแห่งนี้ถูกจัดภูมิทัศน์ให้สบายร่มเย็น จำนวนผู้ป่วยอยู่ในระดับที่กำลังพอดี ไม่โกลาหล ไม่วุ่นวาย อากาศยามเช้าเย็นสบาย เงียบ สงบ ฉันคิดได้ว่าถ้าพ่ออาการไม่มากถึงกับต้องพึ่งพาเทคนิคและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยมากๆ พักรักษาตัวอยู่ที่นี่ก็ดี และน่าชื่นชมหมอที่นี่น่ารักทุกท่าน ดูแลผู้ป่วยด้วยความตั้งใจ ใส่ใจคนไข้ได้อย่างทั่วถึง แม้พยาบาลบางคนอาจไม่มีใจหรือไม่ใช่มืออาชีพก็ยังพอรับได้ อีกประการหนึ่งมีเพื่อนและรุ่นพี่ที่สนิทกันมากเป็นพยาบาลอยู่ที่นี่ได้ช่วยอำนวยความสะดวกและดูแลพ่อเป็นอย่างดีอีกด้วย ทั้งยังเป็นเพื่อนคุยผ่อนคลายความตึงเครียดและความเงียบเหงา (เงียบและเหงาเพราะไม่ได้ออนอินเตอร์เนตตลอดทั้งวัน เพื่อนว่าอย่างนั้น)

สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราพ่อ ลูกและใครต่อใครคุยกันไม่รู้เรื่องคือ พ่อหูตึง พูดดังๆก็ว่าตะคอก ว่าเขาใช้อำนาจกับตัวเอง ว่าเขาพูดไม่ดีด้วย ว่าลูกว่าหลานพูดจาไม่เข้าหู และโกรธถือทิฐิเอากับลูกกับหลานทั้งที่ไม่มีใครแบกความรู้สึกของพ่อมาใส่บ่าไว้สักคน  แม้วัยชราของพ่อจะปิดตัวเองจากสังคม เก็บตัวอยู่ตามลำพัง แต่เมื่อพ่อยังหนุ่มพ่อเป็นที่รักและเคารพของญาติพี่น้อง ของลูกหลาน ดังนั้นจึงเป็นความโชคดีที่พ่อที่ยังมีลูกหลานและพี่น้องอยู่เคียงข้างอย่างห่วงใยตลอดมา

การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ..เป็นเรื่องจริง แต่ไม่ลืมกฎของธรรมชาติ
แม้เราสละชีวิตเพื่อให้ได้ทรัพย์ และต้องสละทรัพย์เพื่อรักษาชีวิตไว้ได้ก็เพียงชั่วเวลาเดียวเท่านั้น
ดังนั้น..ทุกชีวิตเกิดมา..เพื่อดับไป..มาจากธรรมชาติ และย่อมกลับคืนสู่ธรรมชาติ ดุจใบไม้ปลิดขั้วร่วงสู่ผืนดิน จึงต้องหมั่นสร้างคุณงามความดีกองสุมไว้ในทุกๆยามที่ยังมีลมหายใจ




วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ปลายทางสุดท้ายคือบ้านเรา


อีกไม่กี่เพลาข้างหน้า การเดินทางก็จะเริ่มต้นอีกแล้ว
แม้เพียงระยะทางสั้นๆ ไม่กี่ร้อยกิโลเมตร  เพียงแค่เวลาเกือบ ๒๐ ชั่วโมงบนขบวนรถไฟสายใต้
บรรยากาศเดิมๆที่คุ้นเคย แต่เพื่อนผู้ร่วมเดินทางไม่เคยซ้ำหน้า

เสียงหวูดรถไฟ และเครื่องจักรที่บดขยี้ลงบนรางรถไฟคล้ายกับจะทำให้แหลกสลายไปต่อหน้าต่อตา
แต่ท้ายที่สุด ทั้งรางเหล็กและรถเหล็กต่างหลงรักกัน ขาดกันและกันไม่ได้เลย เพียงแต่เป็นความรักที่รุนแรงสักหน่อย..ซึ่งถึงอย่างไรเพราะความรักอย่างรุนแรงนี้เองที่ส่งผู้เดินทางทั้งใกล้และไกลถึงจุดหมายเสมอ แม้บางครั้งพบอุปสรรคสับรางรักกันไม่ทัน เจ็บปวดตามๆกันทั้งคนสับราง ทั้งรถไฟ รางรถไฟและผูร่วมทางแห่งความรัก

แม้การเดินทางในแต่ละคราวไร้ความตื่นเต้นเพราะ..คือการเดินทางบนเส้นทางเดิมๆ
แม้จะผ่านเรื่องราวระหว่างทางที่ไม่แตกต่างกับทุกๆคราว
ภายในตู้รถไฟที่ทอดยาวจนสุดสายตาแลเห็น ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างให้เราได้เรียนรู้ ดูและจดจำ
บางครั้งประทับใจไม่รู้ลืม แต่บางทีเป็นเพียงคนผ่านตา ที่ต้องบอกตัวเองว่าอย่าไปรู้และจำอะไรใครเขาเลย
ส่วนใหญ่ผู้ร่วมทางอีกหนึ่งชีวิตอย่างฉัน มักปล่อยเวลาให้หมดไปกับทิวทัศน์อันเป็นธรรมที่งดงามข้างทางและปล่อยใจล่องลอยไปถึงใครสักคนหนึ่ง ซึ่งเขาอาจหลงลืมชีวิตช่วงหนึ่งระหว่างกันและกันไปแล้ว

กว่าจะดึงทั้งชีวิตและความคิดคำนึง ที่ยังหลงวนทบทวนเรื่องราวในอดีตคืนกลับมาได้..
ก็จวบจนสุดเส้นทางอันเป็นจุดหมาย..

ระหว่างการเดินทางกลับบ้านปักษ์ใต้บ้านเรา..จึงมักเป็นช่วงเวลาที่อยู่กับตัวเองได้มากที่สุดของวัน

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทุ่งมะขามหย่อง..จากโบราณกาลถึงปัจจุบันกาล


ณ เวลานี้ ถ้ามีใครเอ่ยถึง "  ทุ่งมะขามหย่อง"   คงไม่มีใครไม่รู้จัก ด้วยว่า

วันที่ 25 พฤษภาคม 2555 เวลา 16.45 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงจากที่ประทับชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงสักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย ทุ่งมะขามหย่อง ตำบลบ้านใหม่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นการส่วนพระองค์ ท่ามกลางเหล่าพสกนิกรเฝ้ารอรรับเสด็จและร่วมร้องถวายพระพรอย่างกึก้องตลอดเส้นทาง ผู้เขียนไม่มีโอกาสเดินทางไปเฝ้ารอรับเสด็จเพราะมีภารกิจ แต่เฝ้าติดตามข่าวสารเป็นระยะด้วยความปลื้มปิติผ่านอินเตอร์เนตเป็นระยะ และประชากรคนไทยทั่วทั้งประเทศคงได้ติดตามข่าวสารหน้าจอโทรทัศน์ด้วยความปลื้มปิติเช่นเดียวกัน

"ทุ่งมะขามหย่อง"   พื้นที่ประวัติศาสตร์ที่ผูกพันกับชาวไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นสมรภูมิรบสำคัญในสมัยอยุธยา ที่ถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ ถึงการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ของวีรสตรีไทย " สมเด็จพระศรีสุริโยทัย"   ที่ทรงสละชีพเพื่อปกป้องแผ่นดินไทยในการรบกับพม่าเมื่อปี พ.ศ.2091 ตั้งอยู่ในตำบลภูเขาทอง อำเภอเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กินพื้นที่ประมาณ 250 ไร่ มีพระราชานุสาวรีย์ช้างทรงของสมเด็จพระสุริโยทัย และนักรบจาตุรงคบาท ตั้งอยู่บนเกาะกลางน้ำ ซึ่งอนุสรณ์สถานแห่งนี้มีโครงการถูกจัดสร้างขึ้น เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติให้กับสมเด็จพระศรีสุริโยทัย และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวาระมหามงคลพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ ในปี พ.ศ.2535 ด้วย สถานที่แห่งนี้จึงมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า  " พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระศรีสุริโยทัย"   โดยอนุสถานแห่งนี้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัย พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยในวันที่ 21 มิถุนายน 2531 คณะรัฐมนตรีในสมัยนั้นได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการจัดสร้าง โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบ ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล จนกระทั่งสมัย พลเอก อิสระพงศ์ หนุนภักดี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้กรมโยธาธิการ (ชื่อในขณะนั้น) ได้ดำเนินการออกแบบวางผังก่อสร้างเพื่อเสนอต่อ นาย อานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรีเพื่อขอรับความเห็นชอบ และได้ลงนามเห็นชอบ และแต่งตั้งคณะกรรมการจัดสร้างพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย เมื่อ วันที่ 4 กรกฎาคม 2534 ส่วนองค์พระราชานุสาวรีย์และประติมากรรมภายในพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัยนั้น ออกแบบและปั้นรูปโดย คุณไข่มุกด์ ชูโต



ทุ่งมะขามหย่อง  อีกด้านหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ความสำคัญเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ คือเชื่อกันว่าพื้นที่ด้านตะวันตกของอยุธยานี้ ในสมัยก่อนเป็นพื้นที่ที่ข้าศึกเมื่อยกทัพมามักจะมีการตั้งค่ายในบริเวณที่ราบบริเวณนี้ จนฤดูน้ำหลากจึงจะล่าถอยออกไป รวมทั้งการทำยุทธหัตถีในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วย ทำให้ทางกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการขยายพื้นที่ส่วนพระราชานุสาวรีย์ออกไป และได้จัดสร้างพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชในบริเวณนี้เช่นกัน

ทุ่งมะขามหย่อง  เป็นพื้นที่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพื้นที่แก้มลิง แก้ไขปัญหาน้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก และในฤดูแล้งจะนำน้ำที่กักเก็บไว้ให้เกษตรกรได้ใช้ในการเพาะปลูก เพื่อพสกนิกรชาว จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยสถานที่สำคัญทั้ง 2 แห่ง ยังบ่งบอกทางประวัติศาสตร์ของ “ทุ่งมะขามหย่อง” และ “ทุ่งภูเขาทอง” ที่ สมเด็จพระศรีสุริโยทัย และ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เคยสู้รบกับพม่า นอกจากนี้ผืนแผ่นดินทั้ง 2 แห่ง จึงได้ตั้งชื่อผืนแผ่นดินทั้ง 2 แห่งนี้ว่า “ผืนแผ่นดินแห่งพระมหากรุณาธิคุณ”

พสกนิกรเฝ้ารอรับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  และส่งเสียงถวายพระพรอย่างกึกก้อง เมื่อ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕

สำหรับทุ่งมะขามหย่อง มีเนื้อที่ทั้งหมด 250 ไร่ ใช้เป็นอ่างเก็บน้ำ (แก้มลิง) จำนวน 180 ไร่ มีความจุน้ำได้ถึง 2,100,000 ลูกบาศก์เมตร เพื่อใช้ในการป้องกันอุทกภัยที่จะเกิดในอนาคต และยังสามารถนำเอาน้ำที่กักเก็บไว้ ไปใช้เพื่อเกษตรกรรมได้ในฤดูแล้งที่ต้อง การใช้น้ำทุ่งมะขามหย่องยังเป็นสวนสาธารณะที่ประชาชน สามารถมาเที่ยวชมความสวยงามและ เป็นที่พักผ่อนได้ คุณประโยชน์มีมหาศาล

ผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้ ตั้งอยู่และแผ่ความเจริญรุ่งเรืองมาจวบจนทุกวันนี้ก็ด้วยพระปรีชาสามารถ และพระอัจฉริยภาพแห่งพระมหากษัติรย์โดยแท้ทีเดียว


ขอบคุณข้อมูล จากวิกิพีเดีย  http://th.wikipedia.org/wiki/พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย
และ ครอบครัวข่าว
http://www.krobkruakao.com/ข่าว/56752/ประวัติพระราชานุสาวรีย์สุริโยทัย-ทุ่งมะขามหย่อง.html
http://hilight.kapook.com/view/71156

ขอบคุณภาพจาก 
http://news.sanook.com/gallery/gallery/1119744/282129/ และวิกิพีเดีย



วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เพื่อนแท้ในยามรุ่งอรุณ


เช้ามืด ฟ้าไม่ทันสาง ลืมตาตื่นเปิดคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งแรก
เป็นกิจวัตรซึ่งทำมานานหลายปีมากแล้ว  ใช้อินเตอร์เนตเป็นเพื่อน
ใช้สังคมออนไลน์เพื่อต่อยอดความเป็นไปของสังคม รับรู้ข่าวสารมากมายได้ตลอดทั้งวัน

เช้าแล้ว แสงอรุณเริ่มทอแสง เสียงนกและกาเหว่า เริ่มทักทายกันด้วยจิตแจ่มใส
บางวันฉันรู้สึกโปร่ง รู้สึกเสมือนได้ยินนกกาทักทายกันอย่างมีความสุข
และน่าแปลก บางวันฉันแทบไม่ได้ยินเสียงพวกมันเลย ทั้งที่หากตั้งจิตตั้งใจ เงี่ยหูฟังเสียสักนิด
พวกมันยังคงทำหน้าที่ด้วยจิตใจที่เบิกบานเช่นนั้นทุกๆวัน
เพื่อนแท้ผู้ไม่เคยทอดทิ้งกันในทุกๆยาม

เพื่อนจากสังคมออนไลน์ได้ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรมากมาย
บางคน พบแล้วจากในเวลาอันรวดเร็ว 
บางคนได้แต่เจอะเจอ ทักทาย พบกันบนโลกออนไลน์เท่านั้น แต่สัมพันธ์ภาพยังคงสม่ำเสมอ
บางคนจิตปรุงแต่งให้ไม่ชอบพอ อยากละ อยากทิ้งมิตรภาพที่เคยมี แต่ในทางธรรมสอนให้เราอดทน
รับรู้ รับฟัง หรือรู้เห็นในสิ่งที่เราปรุงแต่ง หรือความดีและไม่ดีเสียบ้าง

บางคนทำให้หลงชื่นชมคิดว่าความดีของเขา และความจริงใจจากเราจะรักษามิตรภาพที่ดีให้ยืนยาว แต่สุดท้าย ความดีหรือความจริงใจก็มิอาจหยุดยั้งความไม่เที่ยงหนอได้จริงๆ


แสงตะวันเริ่มทอแสงจัดจ้า เพื่อนแท้ของฉันโบยบินออกหากิน เสียงเจื้อยแจ้วเริ่มเงียบหายไป
และเสียงรถราขวักไขว่ เสียงวุ่นวายของสังคมเมืองมาแทนที่



เข็มนาฬิกายังคงเดินสม่ำเสมอ ไม่เร่งรีบ ไม่ร้อนรน 
แสงตะวันจัดจ้าในบางเวลา เมฆขาวทะยอยกันออกมาชื่นชมฟ้าสีคราม

แต่จิตของคน..ที่ไม่เคยสงบนิ่งอย่างฉัน..มักจะวิ่งวุ่น วนหาอดีต กลับมาทุกข์ร้อนกับปัจจุบัน และปรู๊ดปร๊าดไปวิตกเรื่องราวในอนาคต

ฉะนี้แล้ว..จะสงบ เย็นชื่น รื่นรมย์และเบิกบานใด้เช่นนกน้อยเพื่อนแท้ของฉันได้อย่างไรเล่า?


ขอบคุณภาพถ่ายนกน้อยจากเพจผาด่างแคมป์
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=342075299194928&set=t.100000403940712&type=3&theater



วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ถือศีล ปฏิบัติธรรม รู้สึกว่าวิเศษเหนือกว่าผู้อื่นหรือไม่?


เมื่อวานนี้(๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๕)ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนรุ่นพี่ สนิทกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ต่างคนต่างมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน แต่เรายังคงติดต่อไปมาหาสู่กันเท่าที่มีโอกาส 
หลายๆครั้งที่พี่สาวท่านนี้คอยช่วยเหลือ เป็นพี่เลี้ยง เป็นที่พึ่งพิงในยามทุกข์ใจ 

พี่สาวตั้งคำถามว่า " ได้ยินว่าปฏิบัติศีล ๘ หรือ?"
ผู้เขียนตอบ..ใช่ เดือนละครั้ง พักค้างที่วัด ถ้าพอมีเวลา และวันพระก็ปฏิบัติอยู่บ้าน ยากมาก ได้บ้างหลุดบ้าง ก็ยังพยายามอยู่

พี่สาวถามต่อว่า..หลังจากปฏิบัติแล้ว รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นไหม? 
เป็นคำถามที่ผู้เขียนออกจะมึน..ไม่ใช่ตอบไม่ได้ แต่เป็น งง ว่าผู้ปฏิบัติธรรม หรือมีศีล เหนือกว่าคนอื่น
ได้อย่างไร
จึงตอบว่า..ไม่นะ แต่จะรู้สึกว่าต้องสำรวมกาย วาจา ใจ มากกว่าเดิมต่างหาก 
สิ่งใดๆ ที่เคยวิ่งมากระทบจิตแล้วออกอาการไปกระทบผู้อื่นก็ถูกควบคุมให้เกิดน้อยลง อาจทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้าหลุดไปแล้วยังมานั่ง..เตือนตัวเอง ว่าไม่น่าหลุด ไม่ควร 
ถามตัวเองบ่อยๆว่า เราจะคุมตัวเองได้อย่างไรในสถานการณ์เช่นนั้น..
แม้จะตอบตัวเองว่า..สติ ไง 
แต่ ณ ตอนนั้น สติกระเจิงไปก่อนแล้วทุกที 

พี่สาวพูดต่อว่า.." บางคนเขารู้สึกว่า เขาเป็นผู้มีธรรม ทำบุญ ปฏิบัติและศึกษาธรรมมามากแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าได้เสวนากับเขาเลย เพราะเธอคือผู้ไม่รู้"



สิ่งที่พี่สาวคนนี้พูด ผู้เขียนพอเข้าใจว่าหมายถึงอะไรและใคร เพราะเราคลุกคลีกันมานาน รู้เห็นความเป็นไปและความเคลื่อนไหวของแต่ละคนตลอดมา เธอที่พี่สาวกล่าวถึงคือเพื่อนสนิทที่โตมาด้วยกัน เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพี่เลี้ยง เป็นทั้งพี่สาว น้องสาว ถึงขนาดเธอผู้นั้นแต่งงานไปแล้ว ก็ยังอยู่เป็นพี่เลี้ยงรองรับทุกสิ่งทุกอย่าง และคุณพ่อ คุณแม่เธอผู้นั้นก็มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับครอบครัวผู้เขียนเป็นอย่างดี

จึงตั้งคำถามว่า เธอผู้นั้นทำบุญเพื่ออะไร? 
พี่สาวตอบว่า..ทำบุญมากๆแล้วจะรวย

ผู้เขียนกล่าวว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ทำบุญเพื่อรวย พระพุทธเจ้าสละทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเพื่อปฏิบัติจนกระทั่งบรรลุเป็นพระศาสดา เธอเข้าใจอะไรผิดไหม?

พี่สาวพูดว่า ...ถ้ายังงั้นคงเข้าใจบุญกันคนละอย่าง 
ผู้เขียนตอบว่า ...นั่นสิ ผู้เขียนเข้าใจว่า บุญคือการละความโลภ 
ถ้าคิดว่าทำบุญแล้วรวย แสดงว่ายังโลภอยู่ จริงไหม?

ผู้เขียนถามว่า แล้วเธอผู้นั้นปฏิบัติศีล ๘ ผ่านหรือ? 
พี่สาวตอบว่าปฏิบัติได้นะ เขาปฏิบัติสม่ำเสมอมิได้ขาด 

ผู้เขียน เริ่มเข้าใจคำโบราณว่า มือถือสากปากถือศีล มากขึ้น เริ่มพบเห็นได้บ่อยในสังคมของคนที่ศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนพระพุทธเจ้า


ผู้เขียนพูดไปตามประสาความคิด ความรู้พื้นๆ ที่มีเท่านั้น มิใช่ผู้รู้ในธรรมอย่างลึกซึ้ง
ศีลธรรม ช่วยเราควบคุม กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม 
ศีล๘ ช่วยเราลด ละ กิเลส ทั้งหลายทั้งปวง
เมื่อปฏิบัติแล้วไม่สามารถควบคุมมโนสำนึก อกุศล ชี้ผิดเป็นถูก ชี้ถูกเป็นผิด ใครสูง ใครต่ำ ใครเหนือกว่าใคร และใช้วาจาเหยียดหยันผู้อื่น..หรือคิดว่า ถือศีล ปฏิบัติธรรม หรือทำบุญมากๆ แล้วจะรวย..
คงไม่ใช่แนวปฏิบัติของผู้มีศีลตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา

ท่านใดมีความเห็นเช่นใดสามารถแสดงความคิดเห็นชี้แนะผู้เขียนได้ เพราะผู้เขียนนั้นเพิ่งฝึกปฎิบัติและทำความรู้จักเรียนรู้พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า



วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ความรักเจ้าเอย



ขอเขียนถึงความรักบ้าง

ความรักเมื่อหนหลัง
ความรักที่กลายเป็นอดีต
ความรักในปัจจุบัน
ความรักในอนาคต


หลายครั้ง หัวใจยังห่วง โหยหา 
หลายครั้ง หัวใจ พะวง วูบไหว
หลายครั้ง หัวใจ หวนคิด ย้อนเวลา
หลายครั้ง หัวใจ หวั่นไหว วูบหวาน


ปัจจุบัน..เข็มวินาทีไม่หยุดเดิน
หัวใจยังไม่หยุดเต้น 
แต่ความรัก..หยุดอยู่ที่เดิมไม่หวั่น ไม่ไหว
ความพยายามหยุดรัก ดับดวงจิตที่ยังวูบไหว
เป็นเพียงพยายามมิให้แกว่งไกว ด้วยความแรงเกินควบคุม


ถ้าวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ และพรุ่งนี้
จะยังรักเหมือนเดิมหรือไม่?
ไม่ตอบ ตอบไม่ได้ เพราะยังมาไม่ถึง ไม่สัญญา ไม่ผูกมัด

เพียงให้รู้..
วันนี้ จิตยังยึดมั่น ยังผูกพัน
พอไหมใจเจ้าเอย?




วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เลือกสิ่งใดได้สิ่งนั้น




มีตา ถ้าเลือกดูแต่สิ่งเลวร้าย 
มีปาก แต่พูดถึงแต่ความชั่วร้าย
มีหู แต่รับฟังแต่เรื่องเลวร้าย 
มีมือ แต่สัมผัสมือที่สกปรกแปดเปื้อนสิ่งเลวร้าย 
มีใจ แต่ยินดีกับสิ่งเลวร้าย 
สุดท้ายสติและปัญญา 
คิด เลือก กระทำและคลุกอยู่กับสิ่งเลวร้ายอยู่เช่นนั้นเอง.