วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แผนที่กระเทาะเปลือกกิเลส



อยู่ในระหว่างการ จับตา จับจิต พิจารณา 
ทบทวนตัวเอง

น้องสาวทราบว่า ผู้เขียน พาตัวเองเข้าวัดบ่อยๆ ก็ส่งเสียงเตือนสติมาว่า ดีแล้ว และขอให้ทำได้จริงๆ สงบทั้งนอกและในให้จงได้ ยังเป็นเสียงที่เก็บมาพิจารณาอยู่ตลอดเวลา 

หลายวันก่อนมีน้องร่วมอุดมการณ์คนหนึ่งขึ้นสถานะของเขาบน Facebook ว่า..
จะท่องศีลน่ะ พนมมือก็พอ ไม่ต้องถือสากด้วย .... มันหนัก!!   (Komrak คมเลิฟ) 
ช่างโดนใจผู้เขียนจริงๆ การกล่าวขึ้นมาลอยๆเช่นนี้ หากใครรู้สึกเหมือนมดกัด โดนหยิกให้เจ็บแปล๊บๆ ก็อาจรู้สึกได้หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้ผู้เขียนเองยังต้องมองตัวเองทันทีเช่นเดียวกัน 

ผู้เขียนไม่ใช่คนดีแต่อยากจะเป็นคนดีและพยายามจะเป็นคนดี บ่อยครั้งให้สติสอนใจผู้อื่นซึ่งในขณะเดียวกันก็กำลังสอนตัวเองด้วยเช่นกัน 

บางวันถือศีล แต่ก็เดินทางไปนรกโดยฉับพลันทันทีเพราะตามจิตตัวเองไม่ทัน เมื่ออะไรผ่านมากระทบด้วยความแรงปานใด ผู้เขียนเองก็ซัดกลับด้วยความแรงระดับเดียวกัน และก็มานั่งเสียใจว่า..หลุดอีกแล้วนะเรา

หลายๆครั้ง เจอสถานะของเพื่อน พี่หรือน้อง กร่นด่า ผู้คนมากมายและประกาศว่าตนเองเป็นผู้เจริญแล้ว ผู้เขียนออกอาการมึนงงเล็กน้อย ผู้เจริญแล้ว เป็นเช่นนี้หรอกหรือ!!งั้นเราเลิกด่าใครๆดีกว่า

และใช่ว่าผู้เขียนไม่เคยทำผิดเช่นนั้น ทบทวนอดีต ทำผิดมามากมายนับครั้งหรือความถี่ไม่ครบทีเดียว และเมื่อถึงวันนี้..ผู้เขียนกำลังพยายาม ทำสิ่งผิด ให้เป็นสิ่งถูกต้องและดีงามซึ่งนั่นหมายถึงต้องอดทนต่อสู้กับกิเลสที่ครอบงำเราอยู่ ต้องพยายามตามจิตตัวเองให้ทันและฉุดใจก่อนจะพรวดพราดออกไปกระทำผิดซ้ำๆอีก 


 และแอบคิด แอบหวังว่าหลายๆคนคงกำลัง..เป็นผู้มีธรรม กำลังพยายามหยุดล่วงเกินผู้อื่นทั้งทางใจและวาจา ทั้งต่อหน้าหรือลับหลังกันและกันด้วยเช่นกัน

ถามว่าจะดึง..เราให้พ้นจากนรก(ในใจ)ได้อย่างไร..หากเราปล่อยจิตไปตามยถากรรมคงไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด เพราะอารมณ์มักพาเราลงสู่ที่ต่ำ กิเลสคอยชักจูงเราไปในทางชั่วร้ายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง 

กิเลสในตัวผู้เขียนเยอะมาก กว่าจะกระเทาะเปลือกกิเลสหยาบๆ ออกไปเป็นครั้งเป็นคราวก็ใช้เวลานานแสนนาน การเดินทางไปวัดเพื่อกระเทาะเปลือกกิเลส..ใช้เวลานานเป็นปีๆ ทั้งๆที่เดินไม่ถึง 10 เมตรก็ถึงประตูวัดแล้ว

กว่าจะสลัดเปลือกกิเลสและเดินเข้าวัดได้ช่างยากเย็น 
ปัจจุบัน วัดอยู่ไกลเป็นสิบๆกิโลเมตร แต่ผู้เขียนสามารถเข้าถึงวัดได้แล้ว  สัมผัสบรรยากาศอันสงบ ทั้งนอกและในใจ ถึงแม้ไม่สุขตลอดเวลา แม้ตามใจตัวเองไม่ทันทุกนาที แต่ยังดีใจว่ายังมีช่วงเวลาเบิกบานใจกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า..

พระพุทธเจ้ามีเส้นทางเดินสู่ความสุข เพียงแต่เราเดินทางตามแผนที่ธรรมเท่านั้นพอ





วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อุโบสถศีล ครั้งที่๒



ถ่ายทอดสด จากห้องกันเกรา FMTV 20 พฤษภาคม 2555

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
การก้าวเดินไปพร้อมกับวันเวลา..รู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังเดินตามจิตตัวเองอย่างระมัดระวัง
บ่อยครั้งพลั้งเผลอเดินอย่างเร็วและลืมตัว..ก้าวกระโดดข้ามพ้นเวลา ณ ปัจจุบันไปสู่อนาคต
บางครั้งเผลอเดินย้อนอดีตและเผลอกรีดน้ำตาแห่งความโศกอย่างลืมตัว

บ่อยครั้งทีเดียวเมื่อพบสายลมแห่งความฉุนเฉียวของใครต่อใครพัดผ่านมา..
เราก็รับและขังไว้กับใจเรา ทั้งยังซัดกลับด้วยอารมณ์ที่หนักหน่วงไม่ต่างกัน
กว่าจะรู้ว่า..กักขังความทุกข์ไว้ตลอดเวลา..ก็เกือบหมดเวลา

ผ่านการเข้าอุโบสถศีลครั้งแรก รู้สึกถึงการพยายามอยู่กับการ นิ่ง และสงบ
หรืออยู่กับปัจจุบันอย่างไรให้มีความสุข

พยายามตามลมหายใจของตัวเองให้ทัน พยายามเดินตามจิตซึ่งบางครั้งวิ่งปรู๊ดปร๊าด
ซึ่งยากใครจะเข้าใจ..นั่นสิ ใครจะเข้าใจเราได้ในเมื่อเราเองยังวิ่งตามจิตตัวเองไม่ทัน

เวลาผ่านไป ๑ เดือนเต็ม การเข้ากลับสู่ศีลอุโบสถครั้งที่ ๒ ยิ่งทำให้เราค่อยๆ เรียนรู้ ซึมซับและเข้าใจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งแน่นอน ว่าในธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์นั้น มีมากให้เราได้เรียนรู้ และปฏิบัติ ไปกระทั่งหมดเวลาในการเดินทางของชีวิต

และยังตระหนักว่า ศีล ๘ อุโบสถศีล ช่วยเราสะกดจิต ได้เยอะทีเดียว
ครั้นเมื่อเราคิดอะไรเลยเถิดไปจากโต๊ะทำงาน
ครั้นเมื่อเราคิดเลยเถิดไปจากการอ่านหนังสือ
ครั้นเมื่อเราเลยเถิดไปจากการดูทีวี
ครั้นเมื่อเราเถิดไปจากเสวนาเรื่องราวสาระใดๆ
ครั้นเมื่อเราเถิดไปจากการฟังธรรม
ฯลฯ

และเมื่อเราคิดเลยเถิดไปถึงการตำหนิ ติติง โกรธ แค้นและชิงชังบุคคลอื่นแม้เพียงในใจ
ถ้าเราตามจิตไม่ทัน การเดินทางของใจ(มโนกรรม)คงผ่านออกไปสู่การพูด ว่ากล่าว หรือพูดจาหยาบคาย นินทา ส่อเสียด หรือเหน็บแนม(วจีกรรม)ได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ศีล ๘ ช่วยลดกิเลส หยุดความอยากสวยด้วยการพอกแล้วพอกอีกเพื่อซ่อนเร้น เพื่อเพิ่มความอยาก เพิ่มดีกรีกิเลสมากๆขึ้นไปอีก  หยุดการขวนขวายประดับประดาและสะสมความสวยงามที่เป็นเปลือก
แต่คนศีล ๘ ขอสวยด้วยใจบริสุทธิ์

ศีล ๘ ช่วยลดความฟุ้งเฟ้อ ความอิ่มหนำสำราญ อยู่อย่างสะดวกสบายเกินความจำเป็นของชีวิต
ฝึกให้เรารู้จัก กิน อยู่ เพื่อยังชีวิตอย่างพอดี

เพียงแต่เราเปิดใจ เพ่งมอง ตำหนิตัวเองบ้าง และพาตัวเองไปหาหมอ หายา เพื่อรักษาและบรรเทากิเลส อัตตา เพื่อสลายกำแพง..ตัวกู ของกู ที่มีอยู่ในตัวเองเป็นระยะ..
เพื่อปลดปล่อยความทุกข์ หรือความสุขจอมปลอมจากมายาภาพต่างๆ
แล้วเราจะพบ..ความสุขที่แท้จริง

วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

โลหะปราสาทแห่งเดียวในโลก


บ้านเรานี้หนาแสนดีนักหนา ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ในเมืองร่ำรวยด้วยพุทธศิลป์อันล้ำค่า

ความภาคภูมิใจของคนไทยในอดีต 
กำลังถูกกลืนให้เลือนหายไปกับวัตถุนิยมและอารยธรรมของต่างชาติ
ผืนดินถิ่นที่เคยเป็นของคนไทย กำลังถูกชนต่างชาติเข้ายึดครองอย่างน่าเสียดาย

พุทธศิลป์ ความงดงามในเชิงพุทธศาสตร์เองก็กลายเป็นพุทธพาณิชย์
 และต้องงดงามด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชาวพุทธจึงจะนิยม


ใจกลางกรุงเทพฯมีวัดมากมายที่น่าสนใจ ผู้เขียนมักเลือกไปเยี่ยมชมวัดที่ดูสงบและมีเรื่องราวของประวัติศาสตร์มากกว่าวัดที่สวยงามเพื่อดึงดูดผู้คนไปสักการะบูชาเพื่อขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
นั่งรถผ่านวัดโลหะปราสาท วัดราชนัดดา ก็บ่อยครั้ง ได้แต่มองด้วยความชื่นชมและตั้งอธิษฐานจิตในใจ 
ความจริงไม่ใช่ความลำบากยากเย็นอะไรเลย เพราะอยู่ใกล้สนามหลวง อยู่ใกล้สะพานผ่านฟ้าลีลาศ
 อยู่ใกล้วัดภูเขาทอง ตรงนี้นี่เอง แต่ก็เฉี่ยวไปเฉี่ยวมา ไม่เคยแวะเข้าไปให้ถึงวัดสักที


วันนี้ วันหยุด ไปทำธุระละแวกนั้น แม้ไม่ผ่านแต่ตั้งใจแวะไปสักที เป็นเวลายามสายแต่ภาวะอากาศร้อนเหมือนยามเที่ยงตรง บ้านเมืองเราที่เคยร่มเย็นกลายเป็นเมืองรุ่มร้อนทั้งจิตคนทั้งอากาศเพราะ..คนทำลายความสงบสุขและร่มเย็นกันเสียเอง

วัดราชนัดดา หรือวัดราชนัดดารามวรวิหาร พุทธศิลป์ที่เป็นโลหะปราสาทแห่งเดียวในโลก สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2389 ตรงกับปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อพระราชทานเป็นพระเกียรติแก่พระราชนัดดา คือพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าโสมนัสวัฒนาวดี


พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างโลหะปราสาท แทนการสร้างเจดีย์ นับเป็นโลหะปราสาทแห่งที่ 3 ของโลก(แห่งที่ ๒และ๓ อยู่ประเทศอินเดียและศรีลังกา แต่ปัจจุบันเหลือแต่ในประเทศไทยเท่านั้น) โดยสร้างเป็นอาคาร 7 ชั้น มียอดปราสาท 37 ยอด หมายถึงโพธิปักขิยธรรมในพระพุทธศาสนา 37 ประการ ยอดปราสาทชั้น 7 เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ กลางปราสาทเป็นช่องกลวง มีบันไดเวียน 67 ขั้น ให้เดินขึ้นไปดูทิวทัศน์ข้างบนได้

สำหรับสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่ในวัดราชนัดดารามนี้ก็ยังเป็นแบบไทย พระอุโบสถเป็นมีช่อฟ้า ใบระกา หน้าบันลงรักปิดทอง ประดับด้วยกระจกงดงาม ภายในประดิษฐานพระประธานพระนามว่า "พระเสฏฐตมมุนี" ส่วนพระวิหารก็เป็นศิลปะแบบไทยเช่นกัน ภายในมีพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรเป็นประธาน พระนามว่า "พระพุทธชุติธรรมนราสพ"

พระบรมสารีริกธาตุ บนยอดพระวิหาร

ผู้เขียนไปตามลำพัง ดังนั้นการจะก้าวไปทางไหนจึงเป็นอิสระ ท่ามกลางบรรยากาศอันร้อนระอุ พื้นปูนที่ร้อนดังเอาเท้าเหยียบลงบนกองไฟ แต่เพียงชั่วเวลาแสนสั้น หลังจากก้าวผ่านเข้าไปภายในวิหารแล้ว ความเย็นสบายทั้งที่ไม่เครื่องทำความเย็น...ความเย็นก็โอบเราไว้ พื้นปูนภายในวิหารเย็นเฉียบต่างกันสุดขั้ว ผู้เขียนเดินผ่านนิทรรศการต่างๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตทั้งจากวีดีโอทัศน์ ภาพวาด ภาพเขียน หรือภาพถ่าย แวะอ่านเรื่องเล่าที่น่าสนใจ ความรู้เกียวกับพุทธศาสนา โดยไม่ต้องเบียดเสียด แย่งที่เดินที่ยืนกับผู้ใด ผู้คนที่มาเยียมชม ณ วัดแห่งนี้มีไม่มาก คงเพราะไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดึงจริตของคนนับถือพุทธ


ผู้เขียนเดินขึ้นช่องบันไดวนแคบๆสูง ถึง ๖๗ ขั้นเพื่อชมภาพกรุงเทพฯ ๓๖๐ องศา ซึ่งในแต่ละชั้นที่เดินผ่านมีเรื่องราว มีความรู้ให้เราเก็บเกี่ยวไว้เป็นเครื่องประดับสมองเยอะทีเดียว แม้อากาศร้อน แต่ใจไม่ร้อนเร่งรีบ หรือเกรงใจว่าใครจะรอคอย 
ดังนั้นจึงยกเวลาทั้งหมดที่มีให้กับโลหะปราสาทแห่งนี้ไปครึ่งค่อนวัน

หากสนใจในสิ่งล้ำค่าและความภูมิใจที่คนไทยยังมีอยู่ ผ่านไปผ่านมาแวะชื่นชมกันบ้างสักนิด
วัดราชนัดดารามวรวิหาร โลหะปราสาทแห่งเดียวในโลก 
 สถาปัตยกรรมพุทธศิลป์อันล้ำค่าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก วิกิพีเดีย
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3