วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มาร์ติน วีลเลอร์ ชาวตะวันตกผู้มีหัวใจพอเพียง



มาร์ติน วิลเลอร์ปราชญ์เดินดิน บนผืนดินถิ่นอีสาน

"คนไทยโชคดีมากๆ ที่ได้ในหลวง เป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงาน 
หนักมาก เพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้ จะหากษัตริย์ ในประเทศอื่น 
ไม่ค่อยมีแบบนี้ ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง แต่ไม่ยอมปฏิบัติ 
ตามคำสอนของในหลวง พระองค์ท่าน บอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง 
แต่คนไทย ก็ไม่รู้จักพอเพียง"


นี่คือคำกล่าวของมาร์ติน วีลเลอร์ชาวอังกฤษ ซึ่งคนไทยยกย่องให้เขาเป็น ปราชญ์ ถิ่นอีสาน 
ผู้หลงกลิ่นชาวนา และวิถีชีวิตชนบทไทย

แม้เวลาผ่านมา ๒ ปีแล้ว แต่ฉันยังจดจำเรื่องราวได้ดี ฉันมีโอกาสรู้จักฝรั่งคนนี้จากทีวีช่อง FMTV ทีวีเพื่อมนุษย์ชาติ ด้วยการชี้ชวนดูรายการที่กำลังนำเสนอในช่วงเวลานั้น 
ออกอาการงง และประหลาดใจ ทึ่ง เล็กน้อย เมื่อพบเจอฝรั่งพูดจาภาษาไทยสำเนียงอีสานอีสานชัดเจน จะไม่แปลกใจมากถ้าเจอชาวตะวันตกพูดภาษาไทยสำเนียงอีสาน เพราะอีสานมีเขยเป็นฝรั่งเยอะ แต่ที่แปลกใจคือ มาร์ติน วีลเลอร์ เข้าใจภาษาไทยและวิถีชีวิตคนไทยได้ลึกซึ้งกว่าคนไทยอีกหลายๆชีวิต
ฉันถามเพื่อนว่า ฝรั่งคนนี้เป็นใคร ตอนนั้นไม่รู้จักจริงๆ และเขาก็แค่บอกว่าเป็นเขยฝรั่งคนหนึ่งที่มีแนวคิดในเชิงเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช ส่วนรายละเอียดนั้น ไล่ให้ฉันค้นหาอ่านเองจากอินเตอร์เนต

คุณมาร์ติน วีลเลอร์ แสวงหาความสุขและมาค้นพบสัจธรรม ปรัชญาของชีวิตบนผืนแผ่นดินไทยแผ่นดินที่คนไทยอีกมากมายหลายชีวิตมองข้ามความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ มองข้าม ความงดงามของวิถีชีวิตที่เป็นไทยแต่ดั้งแต่เดิม มองข้ามพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปสู่สังคมทุนนิยมและหลงยึดติดอยู่กับบริโภคนิยม วัตถุนิยม จนกระทั่งทำให้สังคมไทยวุ่นวาย เดือดร้อน ไม่มีความสงบสุขในสังคม เช่นทุกวันนี้

ฉันไม่นิยมเดินตามอารยธรรมของชาวตะวันตก  เกาหลี จีน หรือญี่ปุ่น ไม่ได้หลงใหลวัฒนธรรมต่างชาติ จนลืมรากเหง้าของตัวเอง

สำหรับเรื่องของ คุณมาร์ติน วีลเลอร์ หรือผู้ใหญ่มา ปราชญ์เดินดินถิ่นอีสาน ฉันขอยกย่องแนวคิดของเขาเพราะเชื่อมั่น และศรัทธาในแนวคิดแบบเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อหลวงองค์ภูมิพล

ประวัติและแนวคิดที่น่าสนใจของคุณมาร์ติน วีลเลอร์

ชื่่อ Martin Wheeler  เป็นชาวอังกฤษ เมือง Bllackpool
ปริญญาตรีเกียรตินิยม ภาษาละติน จาก London University
ภรรยา นางรจนา วีลเลอร์ ชาวขอนแก่น บุตร ๓ คน 

เขาเล่าว่า...ผมเป็นชาวอังกฤษ เกิดในครอบครัวที่ฐานะดีพอสมควร พ่อจบปริญญาเอก เป็นผู้จัดการบริษัทเกี่ยวกับสารเคมี ยาฆ่าแมลง มีลูกน้อง ๒๐,๐๐๐ กว่าคน แม่จบปริญญาตรี เป็นครูสอนเปียโน
กับไวโอลิน ผมจบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับหนึ่งภาษาละติน ครั้งแรกเรียนที่มหาวิทยาลัย
เคมบริดจ์ ปีที่ ๓ ผมย้ายไปเรียน มหาวิทยาลัยลอนดอน และจบที่นั่น ผมไม่ชอบ
เคมบริดจ์ เพราะเป็น แบบโบราณ อังกฤษเป็นประเทศเก่าแก่มาก สมัยโบราณเป็น
ระบบศักดินา มีขุนนาง และ ชาวบ้านเป็นขี้ข้า ทุกวันนี้แม้ยกเลิกระบบนั้นแล้ว 

ผมไม่ใช่ครูฝรั่ง
 ผมอยู่ประเทศไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ 
ผมอยู่กรุงเทพฯ ไม่มีเงิน แม้แต่บาทเดียว ไปหางานทำ อาชีพอย่างเดียวที่เราทำได้ 
คือเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ จริงๆแล้ว ผมไม่ได้เป็นครูหรอก ผมสอนไม่เป็น 
แต่คนไทยเห็นฝรั่ง จะบอกว่าฝรั่งทุกคน เป็นครูสอนภาษา ซึ่งมันไม่จริง 
ฝรั่งส่วนมากไม่ได้เป็นครู ที่กรุงเทพฯ เขาจ้างผมให้เป็นครู เอาเสื้อผ้าดีๆ
เนคไทดีๆให้ใส่ เขาบอกว่า คุณเป็นครูนะ แล้วเขาก็ส่งผมเข้าห้องเรียนเลย
ความจริงฝรั่งที่เขาเรียกครูนั้น ไม่มีใครเคยสอนหนังสือ แม้แต่คนเดียว และบางครั้ง 
ก็ไม่ใช่คนอังกฤษด้วย มีคนหนึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส พูดภาษาอังกฤษผมฟังไม่รู้เรื่อง 
แม้แต่คำเดียว คนไทย ก็แปลกดีเหมือนกัน เขาให้เงินเดือนผมเดือนละ ๓ หมื่นบาท 
ไปนั่งเฉยๆ ผมก็ละอายใจ ไม่อยากรับ ผมคิดมาก ปวดหัวทั้งวันทั้งคืน 
เป็นครูสอนภาษา มันไม่ได้ผลหรอก 
ผมสอนไม่เป็น เอาเงินให้ผมเฉยๆ ผมก็รู้สึกว่า ไม่น่าจะเอา ผมไม่ได้ทำ ประโยชน์อะไร คุ้มค่าเงินนะ
เงินไม่ทำให้ผมมีความสุข ผมมีอุดมการณ์เล็กๆ ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ 

๑. ถ้าเราทำงานอะไร ต้องทำในสิ่งที่เรามีความสุข
๒.จะไม่ทำงานที่ต้องผูกเนคไท
๓.จะไม่มีกระเป๋าเอกสารเพราะว่าเหมือนสังคมของพ่อแม่ผม เขาจะทำงานแบบนั้น 
ทุกคนมีเสื้อนอก มีรถยนต์ มีเอกสาร แต่เขาไม่ค่อยมีความสุขหรอก 
ผมเอาสิ่งนี้ มาเป็นสัญลักษณ์ แห่งการทำงานที่ไม่มีความสุข มีช่วงเดียวเท่านั้นที่
ผมทรยศต่อชีวิตตัวเองคือ ช่วงที่ผมเป็นครูอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมต้องผูกเนคไท 
ผมทำในสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดเลย เพื่อเงินอย่างเดียว ทำอยู่ประมาณ ๑๑ เดือน 
ชีวิตไม่มีความสุข เหมือนอยู่ที่อังกฤษ คือทำงานอะไรก็ได้ ขอให้มีเงิน แต่ไม่มี
ความสุข แล้วก็เอาเงินไปใช้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไปเที่ยว ไปกินเหล้า ไปสูบบุหรี่ 
ยาเสพติดทุกชนิดผมเอาหมด ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แม้แต่อยู่กรุงเทพฯ ก็ยังทำอยู่ 
ถึงได้เงินเยอะ แต่ไม่รู้ว่า จะเอาไปทำอะไร เพราะเงินไม่ช่วยให้เรามีความสุข



หันเหชีวิตสู่แนวทางที่วาดหวัง

ผมเจอภรรยา เธอมาจากจังหวัดขอนแก่นอยู่กรุงเทพฯ ไม่นานก็มีลูก 
ผมเริ่มคิดหนัก แต่ก่อน อยู่คนเดียวไม่มีปัญหา มีความสุขหรือไม่มีก็คนเดียว 
ไม่ยากหรอก เมื่อมีเมียมีลูก มันต้อง รับผิดชอบผู้อื่นด้วย จึงตัดสินใจตัดตัวเองออกจากสังคมเมือง ไปอยู่บ้านนอก หมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดขอนแก่น 
มันเป็นเรื่องแปลก ผมมาอยู่ที่ขอนแก่น เห็นแต่ละคน มีที่ดินเยอะมาก 
ชาวบ้านธรรมดา คนเดียวมีถึง ๕๐ ไร่ ๒๐๐ กว่าไร่ก็มี พ่อแม่ผมมีแค่ ครึ่งไร่เท่านั้นเอง แต่อยู่บ้านนอกที่นี่ โอ้โฮ..มีเยอะมาก สะอาดด้วย อากาศก็ดี 
ตอนแรกได้กลิ่น ผมก็ว่ากลิ่นอะไร อ๋อ มันกลิ่นธรรมชาติ ผมไม่เคยดมมาก่อน 
โอ้สุดยอดเลยบ้านนอก คนอื่นว่าฝรั่งมันบ้า
เพราะเขาไม่คิดว่า ทำไมฝรั่งอยากไปอยู่บ้านนอก เขาคิดว่าฝรั่งมีแต่คนรวย ฝรั่งไม่มีคนยากจน เขาไม่รู้จริงๆ ว่าฝรั่งส่วนมากลำบาก บ้านก็ไม่มี ที่ดินก็ไม่มี เป็นขี้ข้าเขาหมด ลูกก็ไม่มีอนาคต

ปัญหาของระบบทุนนิยมคือเรื่องเงิน
เงินถูกจำกัดเป็นก้อนเล็กๆ คนรวยกวาดเงินไปเยอะ จนเหลือนิดเดียว มันแบ่งกัน ไม่ลงตัว ทำให้มีคนจนเยอะ ถ้ามีคนรวย ๑ คน จะมีคนจน เป็นร้อยเลย ระบบทุนนิยมจึงอยู่ได้ ปัญหาของคนยากจนคือ ทำยังไง จะมีชีวิตที่ดี เราจะหลุดพ้น จากความยากจนได้ ต้องหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน อันนี้เป็นจุดเด่นของ
ประเทศไทย ชาวบ้านธรรมดา อาจจะไม่มีเงินเยอะ แต่เขาสามารถจะหาหลายสิ่ง
หลายอย่าง ที่มีคุณค่า มากกว่าเงิน

ในภาพรวมที่นี่ดี สิ่งแวดล้อมดี สะอาด ถ้าเรามีลูก เราอยากให้ลูกของเราอยู่ในที่สะอาด อาหารธรรมชาติฟรีๆ ก็มีเยอะมาก ในภาคอีสาน เห็ดแดง หน่อไม้ ไข่มดแดง ดอกกระเจียว ผักอีหรอก แมงคับแมงคาม ขี้กะปอมเยอะ แต่บางคนก็ไม่กินนะ บางคนก็กิน ซึ่งมันดีมากเพราะว่า ๑.สะอาด อาหารธรรมชาติ ไม่มีใครไปใส่ปุ๋ยเคมี 
๒.ไม่ได้ซื้อ ไม่ได้ใช้เงิน ขอให้ขยันเดินไปเก็บ สมัยก่อน ที่อังกฤษ ผมจะเดินแบกอิฐ
ทั้งวัน เมื่อได้เงินแล้ว ก็เอาเงินเกือบทั้งหมดไปซื้ออาหารในร้าน ฝรั่งส่วนมาก 
ทำงานหนักทุกวัน แต่เงินที่เขาได้ มันเพียงพอที่จะซื้ออาหารกินเท่านั้น ไม่มีเงินเหลือฝากธนาคาร


นิยามความรวยกับความจน

มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทย คนยากจนมีหนี้สินเยอะ ที่อังกฤษมีแต่ คนรวย ที่มีหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้ เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์ มีหนี้สิน แต่คนรวยยืมเงินได้ คำว่ารวยกับคำว่าจนมันคืออะไรกันแน่
ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงินแต่ผมบอกว่า ไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง ผมบอกว่า 
๑. ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็กๆ เป็นกระท่อมน้อยๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา ชาวบ้านเรียกว่า เถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ มันกันแดดกันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว 
๒. มีที่ดิน แค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอก มีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่งมันเยอะมาก จริงๆ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา เพราะฉะนั้น ต้องมีบ้านเป็นของ ตัวเองไว้ก่อน ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผม จะต้องมีบ้านแน่ๆ ด้วย เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง แต่ที่ทำได้ง่ายคือ ปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕-๓๐ ปีตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น เป็นเรื่องแปลก ที่คนไทย จะบ่น โอ๊ย..มันร้อนๆ ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะ จะทำการเกษตรได้ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นร้อนๆ ไม่เอาๆ อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า แต่คนอังกฤษ เขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน
ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผม เขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์ 

วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์

ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑ สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา 
คือ ๑. ต้องมีบ้าน เป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่า ชีวิตประสบความสำเร็จ
๒. ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่า ต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้ มีงานทำทุกวัน
ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่า ลูกมีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา
และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น ผมคิดว่าคนชนบทจริงๆ ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะ แต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอนให้ลูกรู้จักทำมาหากิน เขาก็ไม่ตกงาน ผมถือว่างานที่อิสระ และมีประโยชน์ มากที่สุดคืองานเกษตรซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน อยากให้ลูกกินอิ่มกินอาหาร ที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้ แต่อิ่มทุกวัน เมื่อมีบ้าน มีงาน
มีอาหาร ลูกของผม ก็จะรวยที่สุด ผมอยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เพราะว่าสะอาด
จ้างเท่าไหร่ ก็ไม่อยาก ให้ไปอยู่ ในเมืองหรอกเพราะสกปรก แออัด สำคัญที่สุดคือ
เรื่องของสังคม ผมไม่อยากให้ลูกไปอยู่ในเมือง เพราะว่า คนเมืองเห็นแก่ตัว 
วิ่งไปหาเงินอย่างเดียว แข่งขันกันเยอะ เดี๋ยวก็ฆ่ากัน ด่ากันทุกวัน ไม่สงบ อยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เขาจะได้สิ่งที่หายากที่สุดในโลก คนอีสานบ้านนอกเป็นคนดีมากนะ มีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือคนอื่น เอื้ออาทรกัน
เกื้อกูลกัน แบ่งปันกัน ไม่แข่งขันกัน ความเป็นชุมชนเป็นสิ่งที่หายากนะ 

ลูกของผมเขาเป็นคนมีน้ำใจ เขาอาจจะไม่มีเงิน ไม่ได้เรียนหนังสือสูงๆ แต่เขาจะมี สิ่งที่ดีกว่า นั้นเยอะ คือเขาจะมีที่อยู่อาศัย มีชุมชนที่ดี ไม่มียาเสพติด ไม่มีการพนัน ไม่มีอาชญากรรม มันน่าอยู่ ขอให้เราอยู่ในชุมชนที่เป็นแบบนั้น มันก็ดีนะ  ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกก็จะเป็นคนดี ไม่ติดยา ไม่ขี้ขโมย ไม่เล่นไพ่ มีน้ำใจและรู้จักช่วยเหลือคนอื่น ลูกผมเรียน หนังสือไม่เก่ง ปีนี้เขาได้คะแนนเป็น
อันดับที่ ๑๙ ในห้องของเขามีนักเรียน ๓๙ คน มันเดินสายกลาง พอดีเลย (หัวเราะ)
แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องอันดับคะแนนหรอก ครูเขาเขียนถึงอุปนิสัยของลูกว่า เป็นคนที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งผมไม่ได้สอนแบบนั้น ฝรั่งส่วนมากจะเห็นแก่ตัว ผมเคยอยู่ ในสังคม อย่างนั้นมาก่อนที่นี่ชุมชน เป็นวิถีชีวิต ของคนอีสานที่เริ่มซึมเข้าไปในกระดูกของเขา ทำให้ลูกมีน้ำใจ ผมถือว่าสุดยอดแล้ว ผมภูมิใจในตัวของลูกมากๆ 
เรื่องเรียนไม่สำคัญหรอก สำคัญที่สุดนั้น เป็นความมีน้ำใจ ถ้าเขาสามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดชีวิต ผมคิดว่า เขาคงมีความสุขแน่



วิเคราะห์เจาะลึกอีสานบ้านเฮา 

ผมเคยบังคับลูกชายคนแรก ตอนอายุประมาณ ๓ ขวบ จับมานั่ง สอนภาษาอังกฤษ
เขาก็ร้องไห้ ๆ ไม่เอาๆๆ ตั้งแต่วันนั้น ผมบอก จะไม่สอนเขาอีก แต่ถ้าอยากเรียนมาบอกผม จะสอนให้ ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ เขายังไม่บอกผมเลย ผมก็มาคิดว่า จะให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษเพื่ออะไร ในหมู่บ้าน ของผมมี ๕๐ ครอบครัวทุกคนพูดอีสานอย่างเดียว แม้แต่ผมก็ยังพูด แล้วจะให้เขาเรียนภาษาอังกฤษเพื่ออะไร
ปัญหาของคนอีสานมีมากในเรื่องของการศึกษา 
คนอีสานส่วนมากไม่อยากให้ลูกเป็นคนอีสาน ไม่อยากให้ลูกเป็นคนบ้านนอก 
ไม่อยากให้ลูกพูดภาษาอีสาน อยากให้พูดไทย ชาวบ้านส่วนมาก คิดอยากให้ลูก
ได้ดีในชีวิต คิดว่าสิ่งที่ดีในชีวิตของลูกคือ ๑.ไม่ได้พูดอีสาน พูดแต่ภาษาไทย 
๒. พูดภาษาอังกฤษด้วย ๓. เล่นคอมพิวเตอร์ได้ ๔. ไปอยู่ในเมือง 
๕. ไปรับจ้างเขา ๖. ไปสร้าง หนี้สิน ไปซื้อบ้านหลังเล็กๆ ราคา ๒ ล้าน ๓ ล้านบาท 
เขาคิดว่า อย่างนี้ลูกของเขาได้ดี ซึ่งผมไม่เห็นด้วย 
ผมก็อยากให้ลูกของผมได้ดีเหมือนกัน แต่ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ปัจจัย ที่จะช่วยให้เขา
ได้ชีวิตที่ดี อาจจะเอาไปแลกเงินในบางช่วงได้ แต่ ผมหวังว่า 
ลูกของผม จะมีความคิด สูงกว่านั้น ชีวิตน่าจะมีไว้เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน 
ถ้าเขาเรียนรู้ เพื่ออยาก จะหาเงิน อย่างเดียวก็น่าเสียใจนะ เพราะความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญ
ที่สุด แต่การเรียนรู้ เป็นสิ่งที่เราต้องทำ ทุกวันตลอดชีวิต เราหยุดเรียนรู้ไม่ได้ 
แต่เราไม่น่าจะเรียน เพื่อเอาความรู้ เอาปริญญา ไปแลกกับเงิน ทำให้ความรู้ไม่มีคุณค่า

จุดอ่อนจุดแข็งของคนไทย 

ผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหน ก็คิดว่ารวยหมด
คิดว่าการพัฒนา ในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนา
ระบบทุนนิยม นานแล้ว เช่น อังกฤษ สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก แต่คนไทยก็คิดว่า เมืองนอก
ดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ คือคนไทยสนใจเมืองนอกไม่ได้สนใจ ประเทศไทย ผมเป็นฝรั่ง คุณเลยนั่งฟังผม ถ้าผมเป็นชาวบ้าน คุณจะไม่สนใจผม อันนี้เป็นจุดอ่อนน

แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  แผ่นดินประเทศไทย อุดมสมบูรณ์มากๆ 
ที่ดินเยอะมาก น้ำเยอะมาก แสงแดดเยอะมาก ทำเกษตรอยู่รอดแน่ เป็นพลังแผ่นดิน 
ใครๆ ก็อยากได้ประเทศไทย ผมก็ได้ถึง ๖ ไร่ คนไทยโชคดีมากๆ ที่ได้ในหลวง 
เป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงาน หนักมาก เพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้ 
จะหากษัตริย์ ในประเทศอื่น ไม่ค่อยมีแบบนี้ ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง
แต่ไม่ยอมปฏิบัติ ตามคำสอนของในหลวง พระองค์ท่าน บอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง 
แต่คนไทย ก็ไม่รู้จักพอเพียง เอาอย่างเดียว ถึงยกมือไหว้ในหลวง แต่เวลาดำรงชีวิต 
ไม่ได้ทำตามในหลวง ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือ ขอให้มีอยู่มีกิน
ไว้ก่อน ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริงๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ 
เพราะความคิด ของในหลวง เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ต้องอาศัย พลังแผ่นดิน 
ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะ เศรษฐกิจพอเพียง ที่อื่นทำไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่มีที่ดิน 
ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะ เหมือนประเทศไทย พวกคุณโชคดีที่ได้แผ่นดินดีๆ ได้ผู้นำที่ดีด้วย และเรื่องที่ ๓ เรื่องศาสนา ผมคิดว่าศาสนาพุทธ มีความสำคัญมากๆ สำหรับคนไทย ไม่ใช่แค่นับถือไหว้พระ 
แค่นั้นไม่พอ แต่อยู่ที่การปฏิบัติ ด้วยนะ มักน้อย สันโดษ พอเพียง ธรรมะคือธรรมชาติ 
เป็นเรื่องง่ายๆ พึ่งตนเองก็ได้ ปรัชญาของ ศาสนาพุทธ ทำได้นะ แต่คนไทยจำนวนน้อยที่เข้าใจ 
จริงๆ แล้วศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ ออกแบบให้เหมาะสม สำหรับคนบ้านนอก 
ให้ใช้ชีวิตร่วมกับ ธรรมชาติโดย ไม่ทำลาย ไม่เอาเปรียบ แต่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

อยากบอกอะไรคนไทย 

คุณโชคดีมากๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปรบกับใคร 
ไม่ต้องไปเอาน้ำมัน จากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ประเทศไทยอยู่ได้ กินอิ่ม 
มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิด เรื่องเงินอะไรมาก อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง 
คนไทยส่วนมาก นิสัยดีจริงๆ คนไทยมีน้ำใจ หายากนะ คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว
มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธ ที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ 
ชีวิตที่ไม่ทะเยอทะยานเกินไป คือชีวิต ที่มีคุณภาพ ชาวบ้านทุกคนทำได้ ผมเองถึงยังทำไม่สำเร็จ
แต่มั่นใจว่าจะทำได้แน่ในอนาคต ถ้าผมทำได้ คนอื่นก็คงทำได้ง่ายกว่าผมเยอะ ทุกอย่างอยู่ที่เรา
ถ้าเราไม่อยากได้อะไร มากเกินไป ในชีวิต ชีวิตมันก็ง่าย พยายามทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้น 
อย่าให้มันสับสน อย่าให้มันลำบาก พยายามรักษา สิ่งแบบนี้ให้ดี และอย่าเชื่อฝรั่งมากเกินไป


สังคมไทยต้องตระหนักถึงแนวคิดและค่านิยมของตัวเองหรือจะรอให้แผ่นดิน ผืนนาและชาติถูกกลืน

ขอบคุณประวัติและแนวคิด มาร์ติน วีลเลอร์
http://www.asoke.info/09Communication/DharmaPublicize/Kid/k163/024.html
ขอบคุณภาพจากโอเคเนชั่น
http://www.oknation.net/blog/chai/2009/08/17/entry-2
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1841578





วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

"ละคิด ละคน"

สถานที่ หาดดงตาล สัตหีบ ชลบุรี

ลมพัดพริ้ว ปลิวคว้าง
คลื่นสาดล้อทรายกรีดเกรียว
ละคิด ละคน แลโดดเดี่ยว
คนเบื่อ เกรี้ยว หันหลัง ละจากไป ไม่บอกลา

Warintirak.


บันทึกคำสอนของพ่อองค์ภูมิพล..เรื่อง ความพอเพียง


ลูกรักจงมองโลกให้สดใส
จงมองโลกให้กว้างไกล
จงมองโลกด้วยดวงใจ
และจงมองโลกว่า"ไม่เป็นไร"
ลูกรัก..ลูกจะคิดอะไรก็ได้ แต่ให้คิดด้วยความรัก
ลูกจะพูดอะไรก็ได้ แต่ให้พูดด้วยความรัก
ลูกจะทำอะไรก็ได้ แต่ให้ทำด้วยความรัก
ลูกจะรักอะไรก็ได้ แต่ให้รักด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ลูกรัก..ความสุขที่แท้จริงมิได้มาจากภายนอก 
แท้จริงแล้ว ความสุขล้วนมาจากภายใน
คือจิตใจของเรานั่นเอง
ลูกรัก..เพื่อการพอเพียง..พ่อขอบอกแก่ลูกว่า
ลูกจงลดการใช้วัสดุต่างๆ ให้น้อยที่สุด
ปฏิบัติตามที่พ่อได้สั่งสอนไว้
ลดการใช้ถุงพลาสติกเป็นปิ่นโต
ลดการใช้แก้วน้ำพลาสติกและหลอดพลาสติก
เปลี่ยนการใช้ถึงพลาสติกเป็นตะกร้าจ่ายกับข้าว
ใช้ถุงผ้าใส่กับข้าวแล้วนำมาซักต่อไป
ประกอบอาหารทานที่บ้านเพื่อความปลอดภัย
ลดการกินไขมันเพื่อป้องกันมะเร็ง
กินแต่อาหารนึ่ง ต้ม อย่ากินอาหารทอด
ลดปริมาณขยะทางจิตใจ
โดยการใช้น้อย กินน้อย เก็บน้อย
เจียดส่วนเกินช่วยเหลือสังคม.

จากหนังสือ...บันทึกคำสอนของพ่อ..พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เจ้าฟ้ามหิดล


สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระราชบิดาในองค์ภูมิพล อดุลยเดช กษัตริย์รัชกาลที่๙ และในพระบามสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่๘ ในราชวงศ์จักรี 

ทรงมีคุณูปการแก่กิจการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของประเทศไทยเป็นอย่างมาก ประชาชนโดยทั่วไปมักคุ้นเคยกับพระนามว่า "กรมหลวงสงขลานครินทร์"หรือ"พระราชบิดา"และบางครั้งก็ปรากฏพระนามว่า "เจ้าฟ้าทหารเรือ"และ"พระประทีปแห่งการอนุรักษ์สัตว์น้ำของไทย" ส่วนชาวต่างประเทศเรียกพระนามว่า "เจ้าฟ้ามหิดล"


ขอบคุณข้อมูลและภาพจากวิกิพีเดีย

ดอกบัวบานอวดหมู่ภมร บริเวณสระน้ำรอบๆพระบรมรูปของพระราชบิดา โรงพบาบาลศริริราช




นกน้อยเคียงคู่รำพันรักล้อเล่นกับสายลมอ่อนๆท่ามกลางแสงแดดอุ่นๆในยามสาย 


บันทึกความทรงจำวันร่วมกิจกรรมถวายพระพร รักพ่อภาคปฏิบัติ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๔




(ขอบคุณภาพจากAdmin รักพ่อภาคปฏิบัติ)




วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พ่อของแผ่นดิน"องค์ภูมิพล อดุลยเดช"


พ่อ..คำๆนี้รู้สึกยิ่งใหญ่กว่าภูผา
พ่อ..เกรียงไกรเกินกว่าฟ้ากว้าง
พ่อ..ผู้สร้าง..ความยิ่งใหญ่ให้แผ่นดินไทย



ในช่วงชีวิต...นับแต่จำความได้ ฉันมีพ่อเฝ้าคอยอบรมบ่มเพาะนิสัย
ฉันมีพ่อเฝ้าทนุถนอมดั่งดวงใจ....ฉันมีพ่อคอยรับส่งไปกลับจากบ้านไปโรงเรียน
ฉันมีพ่อคอยนั่งเล่นเกมนับเลขเป็นเพื่อน มีพ่อคอยบอกเล่าเรื่องราวมากมาย จนเติบใหญ่
เมื่อเป็นเด็กฉันเห็นภาพในหลวงแขวนในบ้านอย่างกับว่าเป็นคนสำคัญของครอบครัวเรา
ฉันเคยตั้งคำถาม
และพ่อของฉันคอยบอกเล่าว่าเขาคือ..พระเจ้าแผ่นดิน และมีความสำคัญต่อคนไทยทั้งแผ่นดิน

ขณะนั้นฉันยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจคำว่าพระเจ้าแผ่นดินและมีความสำคัญต่อคนทั้งแผ่นดินอย่างไร และทุกครั้งที่พ่อเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ สมเด็จราชินีและพระโอรส พระธิดา
พ่อพูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ปลาบปลื้ม ภาคภูมิใจ ศรัทธาและจงรักภักดีเสมอ
ไม่เคยได้ยินสักครั้งที่พ่อพูดถึงพระองค์ท่านด้วยน้ำเสียงไม่ใยดี หรือหมิ่นเกียรติของพระองค์

จวบจนเมื่อฉันเริ่มเติบโต...รู้ความหมายของคำว่า..วันพ่อ...และวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกๆปี
ฉันได้รู้จัก...ในหลวง...มากกว่าที่เคยรู้จักจากพ่อ 

ฉันรู้จัก"ในหลวง"จากภาพนิทรรศการในโรงเรียนที่คุณครูมอบหมายให้จัดบอร์ดประกวดแข่งขันกัน จากพระราชกรณียกิจที่มีคุณประโยชน์ต่อพสกนิกรและประเทศ จากบทเรียนในห้องเรียน จากห้องสมุด จากข่าวในพระราชสำนัก

พระราชกรณียกิจและโครงการที่มีมากมาย..ในตอนนั้นทำให้ทำให้ฉันได้ตระหนักและระลึกถึงเสมอว่านอกจากพ่อที่คอยโอบอุ้ม..คุ้มภัยในบ้าน
ในครอบครัวแล้ว...ฉันยังมีพ่อผู้ยิ่งใหญ่...เหนือกว่าใครในแผ่นดินนั่นคือองค์ภูมิพล

เมื่อมาถึงวันนี้...ยิ่งกว่าตระหนักในใจถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ยิ่งกว่าความห่วงใยเฉกเช่นคนไทย เฉกเช่นพสกนิกรชาวไทยของพระองค์ท่านทั้งที่อาศัย
ในแผ่นดินนี้หรือพำนักอยู่ต่างประเทศก็ตามที

ฉันรับรู้ในใจว่า...ชาตินี้ทั้งชาติคงไม่มีใจจงรักภักดีเผื่อถึงผู้ใดได้อีก
ในช่วงตลอดเวลาการครองราชย์ ๖๐ กว่าปีของพระมหากษัตริย์ในรัชกาลนี้ก็เป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก

พระองค์ได้ทรงงานอย่างหนักและเหน็ดเหนื่อยพระวรกายตลอดเวลา 
มีแนวคิดต่างๆและริเริ่มโครงการต่างๆเพื่อพัฒนาชาติ เพื่อช่วยเหลือพสกนิกร
ของพระองค์ให้มีงานทำ ดำรงชีพอยู่ได้อย่างพอเพียงและมีความสุข
พระองค์ท่านมีสายพระเนตรที่กว้างไกลสามารถมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างอัศจรรย์

แม้แต่เรื่องของธรรมชาติ...พระองค์ท่าน ทรงประทานพระราชดำรัสแก่ผู้เกี่ยวข้องว่า 
ปีนี้ที่ใดน่าเป็นห่วงว่าน้ำมามากและต้องแก้กันอย่างไร อย่างเช่น โครงการแก้มลิงแก้ปัญหาน้ำท่วม
พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯมีพระราชกระแสอธิบายว่า

"ลิงโดยทั่วไปถ้าเราส่งกล้วยให้ ลิงจะรีบปอกเปลือก เอาเข้าปากเคี้ยว 
แล้วนำไปเก็บไว้ที่แก้มก่อนลิงจะทำอย่างนี้จนกล้วยหมดหวีหรือ เต็มกระพุ้งแก้ม จากนั้นจะค่อยๆ 
นำออกมาเคี้ยวและกลืนกินภายหลัง"



แนวคิดเชิงปรัชญาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาชี้แนวทาง
การดำรงชีวิต ที่พระองค์มีพระราชดำรัสแก่ประชาชนชาวไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2517 เป็นต้นมา
และถูกพูดถึงอย่างชัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไข
ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแส
ยุคโลกาภิวัฒน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ซึ่งได้รับการยอมรับจากอารยประเทศ

โครงการฝนหลวง....เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จ
พระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกร เมื่อปี พ.ศ.2498 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ได้ทรงรับทราบถึงความเดือดร้อนทุกข์ยากของราษฎรและเกษตรกรที่ขาดแคลนน้ำ
อุปโภคบริโภคและการเกษตร จึงได้มีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานโครงการพระราชดำริ 
"ฝนหลวง"(Artificial rain) ให้กับ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ไปดำเนินการ 

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ในใจคนไทย...และต่างชาติ....
ได้รับรางวัลสดุดีจากนานาชาติมากมาย ทั้งได้ยอมรับเป็น พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย
และระดับนานาชาติ รางวัลเทอดทูนพระเกียรติพระคุณที่ได้เห็นถึงพระราชกรณียกิจและ
อัจฉริยภาพของพระองค์อย่างเด่นชัด โดยเฉพาะรางวัลที่ยังความปลาบปลื้มของคนไทย
ทั้งชาติเมื่อเร็วๆนี้นั่นคือ รางวัลจาก โคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ(ยูเอ็น)ทูลเกล้า
ถวายรางวัล ความสำเร็จสูงสุดด้านพัฒนามนุษย์(UNDP Human Development Lifetime 
Achievement Award) ของโครงการพัฒนาแห่งองค์การสหประชาชาติ 
แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2549

โครงการอื่นๆอีกมากมายในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯซึ่งมีมากกว่า
3000 โครงการ ซึ่งล้วนแต่ยังประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชน ดั่งพระปฐม
ราชโองการว่า...
"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"

ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย
และ

(บทความนี้ผู้เขียนเคยเขียนไว้ตั้งแต่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ อาจดัดแปลงบางคำ วลีหรือประโยคเพื่อความเหมาะสม)
http://mblog.manager.co.th/warintirak/th-84303/



วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พระมหากษัตริย์แห่งแผ่นดินไทย

เริ่มต้นไม่ถูกเพราะ..เขียนโดยไม่ได้เตรียมตัว
แต่ด้วยความภาคภูมิใจ ศรัทธาและจงรักภักดีต่อแผ่นดิน ชาติไทยและองค์พระประมุขของประเทศไทย
ขอเริ่มด้วยความเป็นชาติและพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย


ใครจะนึกใครจะคิดว่า เราทุกคน ที่เกิดมาบนผืนดินนี้..ตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงวันนี้ผ่านมาเวลาหลายร้อยปี บรรพบุรุษของเรารุ่นแล้วรุ่นเล่า ผ่านการต่อสู้กับการล่าหาเมืองขึ้น ล่าราชอาณาจักรจากเมือง จากประเทศหรือราชอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่กว่า โดยการรุกราน ยึดครองด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งแตกต่างกันตามยุคตามสมัย ซึ่งแน่นอนว่าเมือง รัฐ ประเทศเล็กๆที่ด้อยกว่าย่อมพ่ายแพ้และตกเป็นเมืองขึ้น ตกเป็นเมืองประเทศราชของประเทศที่เข้มแข็งกว่า และสำหรับประเทศเล็กๆอย่างเมืองสยาม..แผ่นดินของเรา เป็นเวลากว่า ๔๐๐ กว่าปีหลังจากสมเด็จพระนเรศวรได้ประกาศอิสรภาพ  ณ เมืองแครง แล้วแผ่นดินสยามแม้ยังต้องสู้รบ แม้ยังต้องทำสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า หรือเขมรอยู่เนืองๆ แม้บางครั้งเรากำลังรบเราอ่อนแอ แต่ด้วยพลังแห่งความศรัทธา และจงรักภักดี แม้ว่าเหลือผู้กล้าเพียงหยิบมือ แต่ด้วยจิตใจที่หาญกล้า หรือแม้แต่ต้องจำยอมตัดแผ่นดินบางส่วนให้กับประเทศฝรั่งเศสเพื่อรักษาแผ่นดินทั้งหมดไว้ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ในราชวงศ์จักรี ในขณะที่เพื่อนบ้านต้องตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศตะวันตก แต่ด้วยความอัจฉริยะ เสียสละ ของบรรพบุรุษและพระมหากษัตริย์ไทย ทุกยุคทุกสมัย เราจึงยังยืนหยัดเป็นประเทศเอกราชได้เพียงหนึ่งเดียวในภูมิภาคเอเชีย..ซึ่งทำให้คนไทยได้อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุขและเป็นที่ภาคภูมิใจในเกียรติภูมิของตนเองเป็นอย่างยิ่ง


ความหมายคำเรียกพระมหากษัตริย์ของไทย
(ข้อมูลจากความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า)
หากนับย้อนอดีตประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่สมัยโบราณ คำว่า ”กษัตริย์” หรือนักรบผู้ยิ่งใหญ่ ศึกษาได้จากในสมัยกรุงสุโขทัยมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก จะมีความใกล้ชิดกับประชาชนมาก เช่นในสมัยราชวงศ์พระร่วง กษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า “พ่อขุน” เรียกว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พ่อขุนรามคำแหง ในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้รับคติพราหมณ์มาจากขอมเรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถึง พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์ ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักร และห่างเหินจากชนชั้นประชาชนมาก ในสมัยราชวงศ์อู่ทอง จึงมีพระนามขึ้นต้นว่า “สมเด็จ” เรียกว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) สมเด็จพระราเมศวร หรือในสมัยรัตนโกสินทร์ แห่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ เริ่มด้วยรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลปัจจุบันคือรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นการยกย่องเทิดทูลสถาบันองค์พระมหากษัตริย์ จึงมีพระนามขึ้นต้นว่า พระบาทสมเด็จ เช่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9 ) 
ดังนั้นคำว่า “พระมหากษัตริย์ของไทย” อาจมีคำเรียกที่แตกต่างกันตามประเพณีนิยม หรือธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติสืบต่อกันมา เช่นเรียกว่า พระราชา เจ้ามหาชีวิต เจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน พ่อเมือง พระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าอยู่หัว หรือในหลวง ฯลฯ และพระมหากษัตริย์เป็นได้ด้วยการสืบสันตติวงศ์ 


และข้อมูลจากราชบัณฑิตยสถาน โดย ศ.ดร.กาญจนา นาคสกุล ได้อธิบายไว้ดังนี้
คำที่ใช้หมายถึงผู้ทรงเป็นประมุขของประเทศมีหลายคำ เช่น พระมหากษัตริย์ พระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าอยู่หัว พระราชา พระราชาธิบดี พระจักรพรรดิ ในหลวง แต่ละคำมีที่ใช้ต่างกัน

1."พระมหากษัตริย์" เป็นคำที่รับมาจากภาษาสันสกฤต มีความหมายว่าผู้ดูแลพื้นที่ทำการเกษตร หรือผู้ปกครองผืนแผ่นดินทั้งหมด คำว่า พระมหากษัตริย์ เป็นคำที่ใช้เรียกผู้ที่ทำหน้าที่หัวหน้าปกครองคนในสังคมให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข เช่น ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก 

2."พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" เป็นคำที่ใช้สำหรับกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ของไทยองค์ปัจจุบันเท่านั้น เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรม ตามวัฒนธรรมไทยแต่โบราณมาเราไม่นิยมออกชื่อผู้ใหญ่ต่อหน้า แต่จะเลี่ยงใช้คำอื่นแทนผู้ที่เราพูดด้วยนั้น 

ดังนั้นเมื่อจะกล่าวถึงพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อแสดงความเคารพยกย่องสูงสุด จึงใช้คำว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งแปลว่าเท้าของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าอยู่บนศีรษะ เป็นสำนวนที่แสดงให้เห็นว่าผู้พูดยกพระเจ้าแผ่นดินขึ้นเทิดทูนไว้สูงสุด โดยขอให้พระบาทของพระองค์ท่านอยู่เหนือศีรษะของตน และเมื่อกล่าวถึงพระองค์ก็ขอใช้คำอ้างถึงเฉพาะพระบาทของพระองค์ท่านเท่านั้น 

3."พระเจ้าแผ่นดิน" เป็นคำภาษาไทย มีความหมายว่าผู้เป็นเจ้าของแผ่นดิน ผู้เป็นใหญ่เหนือทุกคนในแผ่นดิน เป็นคำที่มีน้ำเสียงเป็นทางการน้อยกว่าคำว่าพระมหากษัตริย์ จึงมักใช้ในการกล่าวถึงในเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ พงศาวดาร เรื่องราวของพระเจ้าแผ่นดินต่างชาติ หรือในนิทาน 

เช่น ประเทศไทยใช้หลักอเนกชนนิกรสโมสรสมมติมาใช้ในการตั้งพระเจ้าแผ่นดิน หรือ มางลองปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดินเมืองพม่า พระเจ้ามินดุงดูเหมือนจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งทรงมีราชธรรมต่างๆ มากที่สุด (ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช, พม่าเสียเมือง) หรือ กาลครั้งหนึ่ง มีพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งทรงพระนามว่า… 

4."เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน" เป็นคำลำลองที่ใช้เมื่อกล่าวถึงพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์โดยทั่วไป เป็นการสร้างคำโดยใช้คำที่มีความหมายตรงกันข้ามมาเข้าคู่กัน เมื่อมีคำว่า เจ้าแผ่นดิน จึงนำคำว่า เจ้าฟ้า มาเข้าคู่เป็น เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เช่น ถึงแม้ประเทศเราจะไม่ได้ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ประชาชนคนไทยก็ยังมีความจงรักภักดีต่อเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินอยู่ไม่เสื่อมคลาย หรือ ท่านเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินอย่าให้ท่านต้องทำอะไรที่จะทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศเป็นอันขาด
http://www.sudipan.net/phpBB2/viewtopic.php?p=20734

(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต)

มาถึงยุคสมัยนี้โดยเฉพาะพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีองค์ปัจจุบัน ผู้มีอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก


ตลอด 60 ปีที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์มากมายในประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็น 60 ปีที่สังคมไทยต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ผ่านร้อนผ่านหนาวกว่าจะมาถึงวันนี้ เป็น 60 ปี ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินพระองค์หนึ่ง ได้พระราชทานภูมิคุ้มกันไว้ให้พสกนิกรของพระองค์อย่างมากมาย
นับตั้งแต่ วันที่ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการอันศักดิ์สิทธิ์ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ตราบจนวันนี้ เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่ข้าแผ่นดินทุกชีวิตว่า พระเจ้าแผ่นดิน ของพวกเขา ไม่เคยทอดทิ้งคำมั่นสัญญานั้น
“พระเจ้าแผ่นดิน” เปิดบันทึกปรากฏการณ์บนแผ่นดินไทยเมื่อ 60 ปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นที่ประจักษ์ว่า ท่ามกลางปัญหาและพัฒนาการของบ้านเมืองในทุกๆด้านนั้น ล้วนได้รับพลังขับเคลื่อนจากการทรงงานอย่างไม่เคยเหนื่อยล้า ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นับแต่แรกเริ่มที่ทรงรับพระราชภาระแห่งพระฐานะพระประมุขของประเทศ ทรงย่างพระบาทไปทั่วทุกตารางนิ้วของประเทศ เพื่อทำความรู้จักกับแผ่นดินและราษฎรของพระองค์อย่างแท้จริง
ทุกปัญหาที่ทรงพบเห็นถูกนำมาขบคิด ค้นคว้า ทดลอง และทรงสร้างเป็นโครงการตัวอย่างเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ราษฎรโดยทั่วหล้า ทุกภูมิภาคของประเทศ

เป็นความโชคดีของคนไทยทั้งแผ่นดินที่มีพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นมากกว่าพ่อแห่งแผ่นดินมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรปวงชนชาวไทยอย่างล้นเหลือ มาทุกยุคทุกสมัย