วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ยิ่งถอย...ยิ่งใกล้






ในวันที่แสงแดดทอแสง 
ท้องฟ้าเป็นสีทอง...
ฉาบฉายยอดขุนเขา.
ฉันคิดอะไรต่ออะไรมากมาย...



คิดถึงการเดินทาง..
คิดถึงการได้ซุกตัวอยู่กลางหุบเขาที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติ และความเหน็บหนาว
คิดถึงความเงียบเหงา..ที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของใจ
คิดถึงความอ่อนแอ..ที่สุมความกล้าแกร่งปิดซ่อนมันไว้
คิดถึง..สิ่งที่เรียกว่ารัก....ยิ่งถอย ยิ่งใกล้

คิดถึงความผูกพัน..ยิ่งคลาย ก็ยิ่งรัดแน่นหนัก




บ่อยครั้ง...ปล่อยใจ..ล่องลอย ไปสุดขอบฟ้า
บ่อยครั้ง...รู้สึกเหมือนยิ่งคว้า ยิ่งห่างไกล

และ..ในวันนี้..ฉันยังคิดว่า...
ฉันยังเป็นเจ้าชีวิตและอิสรภาพอยู่อีกไหมนั่น??




วรินทิรา บันทึก
วัน 14 ธันวาคม 56
ภาพถ่าย อุทยานแห่งชาติ นันทบุรี จ.น่าน

วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันพ่อของปวงชนชาวไทย

วันพ่อ ๕ ธันวามหาราชา.....๒๕๕๖

๕ ธันวามหาราช ๒๕๕๖

ผ่านมา และผ่านไปอีกวัน สำหรับวันสำคัญๆ ของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ
วันพ่อของแผ่นดิน...วันที่ทุกคนละทิ้งความมัวหมอง ละทิ้งความวุ่นวาย ละทิ้งความเจ็บปวด
เพื่อได้ร่วมถวายพระพร ถวายความจงรักภักดี และร่วมกันจุดเทียนชัย..พร้อมกับได้กล่าวสดุดี

...ขอพระองค์ทรงพระเจริญ...ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ 

กึกก้องอย่างพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ
เป็นวันที่ประชาชนของพระราชามีความปลื้มปิติและอิ่มความความสุข..อย่างล้นเหลือ 

สำหรับผู้เขียนแล้ว ไม่มีโอกาสได้ทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่ที่นี่..โครงการฟาร์มตัวอย่างฯ บ้านน้ำดำ ปัตตานี ก็มีกิจกรรมดีๆ ..เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน เป็นประจำทุกปี


ปลูกป่า วันพ่อ ๕ ธ.ค. ๕๖ ณ โครงการฟาร์มตัวอย่างฯ บ้านน้ำดำ ปัตตานี


แม้ทำเพราะหน้าที่ มีขอบเขตจำกัด  
ความรู้สึกอาจแตกต่างกับการที่เราก้าวลงไปทำทั้งตัวและหัวใจ แต่ก็..สุขไม่เบา


บันทึก......ฉันขอเป็นประชาชนของพระราชา

๗ ธันวาคม ๒๕๕๖

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เมื่อหัวใจอยากร้องให้

บรรยากาศ ฟ้าเดียวกัน ค่ำคืนลอยกระทง 17 พ.ย.56

ฉันนั่งฟังเสียงสายฝนพรำ ท้องฟ้ามืดสลัว เป็นไปดังที่กรมอุตุวิทยาเตือนระวังฝนตกหนักและน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่ม
ความคิด ความเครียดยังคงเกาะกุมหัวใจ
ความรู้สึกแย่ ๆ บางทีก็เค้นน้ำตาออกมาล้างหน่วยตาได้บ้างเหมือนกัน แม้ได้พยายามปิดกั้นมันไว้ก็ตามที
วันลอยกระทง บรรยากาศแห่งความสนุกสนานรื่นเริงของคนไทยเพิ่งผ่านไป

แต่ความรู้สึกหม่น ๆในใจฉันยังคงอยู่
น่าแปลกเรื่องราวบางเรื่อง วน ๆ เวียน ๆ อยู่ในสมองห้องน้อยๆ มากเกินไป

คนบางคนได้รับโอกาสให้ทำผิด ได้ซ้ำๆ  จนเมื่อใจเรารับไม่ไหว จึงต้องหันกลับมาถามตัวเอง..ว่า เพื่ออะไร? เพราะอะไร และยังจะให้โอกาสต่อไปอีกไหม?
ซึ่งในความจริง..เราอาจยึดตัวตนเป็นที่ตั้ง สำคัญตัวเองว่าใช่และดี ทั้งที่เราไม่ดีมากว่าใคร
ความจริงทุกคนมีความเป็นตัวตน จะดีหรือชั่ว อยู่ที่ทำตัว ผลแห่งความดีและความชั่ว ปรากฏแก่ตัวตนของคนผู้นั้นเสมอ

ฝนนอกหน้าต่างเบาแรงลงแล้ว เป็นเวลาเที่ยงที่ไม่มีพระอาทิตย์
เสียงนกร้องเพลงอย่างสดใสแทรกมา แต่ไม่ได้ทำให้หัวใจฉันเบิกบานได้เลย

เวลานี้ หัวใจเป็นสีหม่น ๆ เช่นเดียวกับบรรยากาศ นอกหน้าต่าง.
ฝนหยุดตกแล้ว แต่หัวใจกำลังอยากร้องให้.

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คนบ่นวันฝนพรำ



วันสองวันนี้ สายฝนพรำ ในยามบ่ายถึงเย็น ถึงค่ำ 
บางทีก็ถึงเช้า..
แสงแดดส่องพอเป็นประกายสดใสให้อบอุ่นเพียงชั่วประเดี๋ยว 
แม้เสียงนกร้องเพลงสดใส ไม่ว่าเช้าสายบ่ายเย็น 
แต่หัวใจฉันหม่นหมองในทุกคราวที่ว่างจากภารกิจ



บางทีก็ ยุ่ง วุ่นวายจนลืม เรื่องราวของตัวเอง
บางทีก็เคร่งเครียดกับความหมายของคำว่า...คน...วุ่นวาย
บางทีจำยอม จำทนทำหน้าที่ให้จบท่ามกลางความระอา ท้อ จนหมดใจ




แต่สิ่งหนึ่งที่พึงประจักษ์ และแอบเก็บไว้ ให้นึกน้อยใจ และเสียใจ 

คนบางคน..ทำไมฉันจึงเชื่อในตัวตน แม้จะรับรู้ในความบกพร่องอยู่บ้าง แม้จะได้ยิน ได้เห็น ถึงความเสื่อม 
    ที่ผู้คนโจษจันให้เสียหาย

หรือแม้มีใครเข้ามาสร้างความเสียหาย กดดัน ให้ร้ายป้ายสี หรือกระทำสิ่งใดๆ เขาด้วยวิชามารก็ตามที สิ่งหนึ่งที่เราทำมาตลอดเวลาที่มายืนอยู่ที่นี่คือ...ปกป้องจนสุดฤทธิ์ สุดเดช ..ป้องจนตัวเองเจ็บ..แก้ตัวจนฉันรู้สึกว่า..ฉันทำอะไร..มากไปแล้วหรือเปล่า ตั้งแต่เรื่องงาน จนถึงเรื่องส่วนตัว...
โดยไม่ได้คิดหวังสิ่งตอบแทน ...แต่เขาก็ตอบแทนฉันด้วย...การไม่ไว้วางใจฉันเลย.

เรื่องงานบางทีก็ยากจะอธิบาย พูดมากก็ว่ามากไป พูดน้อยก็ไม่ได้รับความยุติธรรม ไม่พูดเลยก็ถูกรังแก ข่มเหงจิตใจ ส่วนตัวฉัน..ไม่นิ่ง ไม่เฉย ไม่ยอมให้ใครรังแก และต้องได้รับความยุติธรรม แม้บางทีมีกระทบกระทั่งกัน อาจพาลนึกโกรธ น้อยใจ หมดแรง ท้อ และอยากจะหยุด แต่เมื่อทบทวน เมื่อได้รับมอบหมายแล้ว..จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ต้องเดินหน้า สะดุด หยุดพัก ปล่อยมือไม่ได้ เพราะไม่ว่าผลงานจะดีหรือไม่..เราไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้เลย...(โหมดคนบ่น)

เสียงเม็ดฝนขาดหาย..ความเงียบและความมืดโรยตัวเข้ามา แต่เสียงนกร้องเพลงยังไม่คืนรัง ฉันยังนั่งบ่นกับตัวเองเพียงลำพัง..บางตอนของชีวิต...เดินหน้าต่อไม่ไหว ถอยหลังก็หมดแรง...คงทำได้เพียงหยุดพักและผ่อนลมหายใจแผ่วๆ ก่อนจะฮึดสู้..จะก้าวไปหน้าหรือจะยอมแพ้.

บันทึก  ๑๔/๑๐/๕๖

ภาพ จากหาดเทียนทะเล สัตหีบ

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เวลา




เวลา...ไม่ใช่ แค่เดิน ผ่านไปเรื่อยๆ

 แต่ ช่วย ให้เราเรียนรู้ ผู้คน ระหว่างทาง 

สิ่งที่แลเห็นไม่ใช่สิ่งที่เป็น
สิ่งที่เป็น ไม่ใช่ ในความหมายตามนั้น..



บ้างก็มีความน่ารัก บ้างก็มีความน่าชัง

บ้างก็สะสมและแบ่งปัน ความดี


บ้างก็..หลง สาละวน กับ ความเสื่อม

บ้าง ก็ใฝ่รู้ บ้างก็ กลัวเหนื่อย


บ้างก็ อิจฉาริษยา....


เวลา...ให้อะไร ต่อ อะไร มากมาย สำคัญว่า...เรา จะเก็บ อะไร ไปได้บ้าง

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

มายาใจ



.. สมองวุ่นวาย กับงาน..
ไม่ได้มีช่องว่าง..เหลือ เผื่อ ให้กับ ความรู้สึก ของตัวเองบ้างเลย

บางครั้ง..อาจเผลอวูบวาบ แต่ เพียงชั่วนาที เพราะ มีเหตุมีผล ที่เราเผลอไม่ได้บ่อยๆ
บางที..อาจหวั่นไหว เพราะ หัวใจไม่ใช่ หินผา

แต่ทุกครั้ง...
ภาพ..เสียง...ลอยมาสัมผัส ให้เรารับรู้ ได้ถึงผลสะเทือนถึงใจในวันพรุ่งนี้
และทุกครั้ง ยังตระหนักได้..ว่ามันคือ มายาที่หลอกหลอนตัวเอง

...ภาพมายาลวงตา ลวงใจ...
ให้มีผลถึงใจ ได้เสมอ

...ภายใต้ความสงบ..นิ่งงัน และรอยยิ้ม
ยังคงซ่อนความไม่ไว้วางใจในตัวตน 

คิดถึงเสมอ ก็บอกความรู้สึกต่อใครๆ ไม่ได้ แม้แต่ตัวเอง
ห่วง ก็แค่ห่วง ที่มิอาจเปิดเผยถึงกัน

อ่านมา อ่านไป เริ่มสับสน ดังเช่น ตัวเอง..ที่ยังรู้สึกเหมือนท้องฟ้าอึมครึมด้วยเมฆฝน


หัวใจ ไม่ใช่ สายน้ำ มิอาจ ปล่อยให้ไหลเรื่อยเปื่อย
หากมิรู้..ปลายทาง..ต้องสร้างกำแพงหินกั้นระว่างเส้นทาง

หากเมื่อพบว่าใครจริงใจ..ย่อมแสดงผล ได้ทุกๆเวลา

ขอเพียง..ความจริงใจจากกันและกัน กำแพงกั้นใจ ไม่ได้เสมอไป

FOR GET ME NOT.

ขอบคุณ ภาพดอกไม้จาก
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=calalily&month=21-06-2013&group=27&gblog=1

วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เสียดาย


๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๖



ฝนตกพรำมาหลายวัน

ยามเย็นชุ่มน้ำฝน
ตื่นมายามเช้าก็ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำฝน

น้ำค้างยังคงเกาะพราวบนยอดไม้
ใบหญ้า

เสียงนกส่งเสียงทักทายกันและกัน..
สดใสยิ่งนัก


แต่เสียงหัวใจของฉัน..มันบางเบาสลดหดหู่ และหม่นหมอง


ในบางเวลา...ไร้ซึ่งน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงหัวใจ


และจึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ความรู้สึกยังคงวกวน วุ่นวาย หลากหลายเรื่องราว

น่าเสียดายเวลา..
ที่ฉันปล่อยให้ผ่านไปพร้อมกับลมหายใจนาทีต่อนาที

และน่าเสียดายที่อะไรๆ ผ่านเข้ามา..และปล่อยให้จากไป.


บันทึกภาพ ศูนย์ครูใต้ ปัตตานี
โดย Warintira

วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556

จะสุขหรือเศร้า เท่านี้ไง ชีวิต


๒ มิถุนายน ๒๕๕๖

ท้องฟ้าโปร่ง อากาศร้อนอบอ้าว
เงียบเหงาคล้ายวันหยุด..ทั้งที่ยังต้องทำงาน

เสียงเพลงแว่วๆ ฟังไม่เป็นภาษาในบางครั้ง..เพราะจิตจดจ่อกับตัวเลขตรงหน้า

แต่บางทีก็สะดุด เผลอฮัมเพลงตามถ้าเป็นเพลงโปรด
อาจมีบ้างเผลอใจ..คล้อยไปกับเสียงเพลงและความหมายอันลึกซึ้ง


ชีวิต..และความรู้สึก  
เรามิอาจกำหนดหยุดอยู่กับลมหายใจตัวเองได้เสมอไป

หลายต่อหลายครั้ง..เผลอใจปรุงแต่งจนเกิดโมหะ

กว่าจะกระชากจิตกลับมาอยู่กับตัวเอง..กว่าจะควบคุมจิตตัวเองได้
บอกตรงๆ ค่อนข้างลำบาก

เสียงเพลงโปรด ยังคงลากจิตเราไปไม่ขาดห้วง

..เสียงเพื่อนร่วมงานปิดหน้าต่างแทรกมาเตือนสติ ว่าได้เวลากลับบ้าน..อย่ามัวพิรี้พิไร
.แหงนมองนาฬิกา  หมดเวลา..การงานสำหรับวันนี้

.....แต่เวลาของฉันยังมีจนชั่วชีวิต.....

ฉันกระวีกระวาดเก็บของเพื่อออกจากที่ทำงานไปพร้อมๆกับคนอื่นๆ 

ผ่านไปอีกวัน...
อาจดีบ้าง เลวบ้าง 
จิตระคนทุกข์...ปนสุข อาจปาดน้ำตาปลอบใจตัวเอง...ก็เท่านี้เองใช่ไหม?

วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บันทึก..เมื่อเจอโจรล่องหน


หัวใจฉัน...
สมองน้อยๆฉัน
หากมันตะโกน ออกมาได้มันคงต้องตะโกนว่า...รู้ไหม..ว่าฉันจะระเบิดแล้ว..

ทุกๆเวลา นาที และโมงยาม ของแต่ละวัน
เพียงแต่เวลาเริ่มต้น..เจอผู้คน ปัญหาก็เกิด
ไม่ใช่ แค่ได้ยินได้ฟังได้สัมผัส เรื่องราวเสียหาย ทั้งกระทบเราโดยตรง คนข้างตัว
เยอะ..จนเรารู้สึกล้าเกินจะรับไหว

แต่..พลังที่ยังกระตุ้นต่อมความอดทน คือ จิตสำนึกในการทำงาน เพื่อถวายตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณ

เหตุเมื่อวาน ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๑

เวลา ๐๘.๑๕ น. ผจก.คนที่ ๑ พูดหน้าแถวต่อหน้าคนฟาร์มว่า เรารับลูกปลาทับทิมมาเลี้ยง จำนวน เท่าใด เป็นของฟาร์ม จำนวนเท่าใด เป็นของ ผอ. จำนวนเท่าใดและยังย้ำว่า..เป็นของส่วนตัว ผอ.จำนวนเท่าใด
เราก็ไม่รู้ว่า เขาจะพูดเพื่ออะไร ?

ผจก.คนที่ ๒ ออกไปชี้แจงแทน ผอ.ว่า ปลาส่วนของ ผอ.นำเงินกำไรไปทำกิจกรรมอะไรบ้าง เพื่อประโยชน์ของพี่น้องทุกคน ในยามใด โอกาสใดบ้าง  เพื่อไม่ให้กระทบ ต่อเงินรายได้

ผจก.คนแรก ก็แก้ตัวว่า เขาไม่เคยรู้เรื่อง เพราะเขาไม่เคยรู้เรื่องเงิน เข้า ออก ไม่รู้เรื่องรายได้ มีแต่การเงินและผอ. ทำกันอยู่ ๒ คน รุ้กันอยู่ ๒ คน.. ที่เขาบอกไม่รู้ คืออยากรู้ระดับไหน..?? ขอบอกนาทีนั้น หากเราออกไปพูดชี้แจงอีกคน คงต้องมีเรื่องวุ่นวายแน่นอน..และนาทีนั้น นึกอยากเป็นผู้ชาย(ว่ะ)จะชกปากคน อารมณ์นั้นทีเดียว..โชคดีที่เป็นหญิง...หยุดโทสะไว้ได้

สิ่งหนึ่งที่คนเรามักพลาด...พูดและกระทำสิ่งใดๆ ลงไปเพราะสนองกิเลส..ตัวโลภะ จนไม่ทราบว่า ผลสะท้อนกลับมาที่ตัวเองอย่างไร

ผัสสะผ่านไปอีกวัน

วันนี้ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๖
เราเข้าที่ทำงานตามปกติ
ก้มตัวลงไขกุญแจลิ้นชัก นานผิดปกติ ทำไมถถึงแหย่ลูกกุญแจไม่เข้าช่องสักที คิดว่าหยิบกุญแจผิดดอก ก็ในพวงกุญแจมันมีกุญแจสารพัด ทั้งกุญแจบ้าน ตู้ ลิ้นชักบ้างไรบ้าง จึงหยิบมาดู ก้มลงพิจารณาช่องเสียบกุญแจ..ถึงได้รู้ว่า ช่องเสียบกุญแจ..ตัน เพราะมีของแข็งสักอย่าง คาช่องเสียบอยู่...โอว....ลิ้นชักโต๊ะ ถูกงัด และใครสักคนพยายามใช้ของแข็งไข แต่ไขไม่ออก ของแข็งประเภทนั้นก็หักคาอยู่อย่างนั้น..ไม่รู้เป็นความโชคดี หรือ ดวงซวยของโจร ทิ้งหลักฐานไว้ให้ดูอย่างนั้น

เราอยากแจ้งตำรวจ แต่มีคนค้าน โทรฯหา ผอ.เพื่อแจ้งเหตุ และจะขออนุญาตแจ้งตำรวจ มาเก็บหลักฐานหาตัวขโมยที่มันมาขโมยเงิน โทรศัพท์ ๒ เครื่อง ล่าสุด..เรากลับจากกรุงเทพฯ เหรียญ เกือบพัน ก็หายไปจากลิ้นชักโต๊ะการเงิน ให้ได้สักที...แต่ผอ.ไม่รับสาย ไม่โทรฯกลับ โจรก็ลอยนวลอีกตามเคย...เอ่อ..ที่นี่เลี้ยงโจร ไว้เยอะ จะได้บุญเหมือนเลี้ยงคนไม่สมประกอบหรือเปล่านะ?

ปัญหา มักไม่ใช่ปัญหา สำหรับ คนบางคน
ปัญหาจึงไม่เคยได้รับการแก้ไข..คนเดือดร้อนก็เดือดร้อน..ซ้ำๆอยู่อย่างนั้น

วันๆ เจอผัสสะเยอะมาก เพราะต้องเจอผู้คนหลากหลายรูปแบบ
บางทีก็นิ่งจนน่ากลัว
บางทีก็หวั่นไหวจน..วุ่นวายและโวยวาย

น้องที่ทำงาน..ตั้งคำถามว่า...ถามจริงๆ ตอบหนู จริงๆนะ..พี่รู้สึกอย่างไรบ้างกับปัญหา..ที่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน...ตอบจริงๆ"ไม่รู้จะพูดอย่างไร..พูดไม่ออกจริงๆ"

แต่ในยามที่อยู่ตามลำพัง...แอบสะอื้นกับตัวเองเช่นกัน
มีบ้างในบางคราว..ที่เราอ่อนแอ

ในช่วงที่เราหายไป กรุงเทพฯ ไม่ได้บอกเล่าใครมากมาย หลายคนมาซักถาม..ว่าไปทำไม จะกลับไปอยู่กรุงเทพฯหรือ?...เพราะพวกเขารู้จักเราดีพอก็ว่าได้นะ สังคมที่เราไม่คุ้นเคยหนึ่งละ..สังคมการช่วงชิงแย่งผลประโยชน์ในที่ทำงาน เลวร้ายและน่ากลัวกว่าที่เคยเจอก็อีกหนึ่งที่ไม่พึงจะทนได้

พรุ่งนี้...จะเจออะไรอีกไหม..ตั้งคำถามกับตัวเอง
...แต่ตั้งสติได้..ระลึกตัวรู้พร้อม..พระพุทธเจ้า สอนให้อยู่กับปัจจุบัน..

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อยากบินให้ได้ดั่งนก







จิ๊ก จั๊ก..จิ๊ก จิ๊บ จิ๊บ ๆ
เสียงนกขานรับคู่เสียงสดใส

ทั้งเช้าตรู่..ยามสาย บ่ายคล้อย










ฉันตื่น..สดับรับฟัง เพลิดเพลิน 
ระรื่นชื่น หัวใจ
สายลม เอื่อยเรื่อยริน 
แม้บางเวลาพัดไอแดดแสนร้อนอ้าว
แต่ยังสุขจริง สุขใจ ทั้งเจ้านกน้อย และฉัน




...ฉันก็อยากเป็นนกบ้างในบางครา.......

ฉันก็อยากบินถลา..ร่อนหายไป ให้สุดขอบฟ้า.

ขอบคุณภาพนก จาก


วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ถามหัวใจ




ท้องฟ้าวันนี้มืดมัว
เสียงฟ้าคำรามหรือระเบิดทำลายล้าง ต้องเงี่ยหูฟัง
ยังต้องมานั่งถกเถียง..เสียงฟ้าหรือยมทูตกระทืบเท้ามารับใครกัน?

และสุดท้าย ฟังเสียงหัวใจตัวเอง
บางทีระรัว รื่นเริง บางทีหวั่นไหว หวั่นใจ ไม่เป็นจังหวะ
บางทีสงบ เยือกเย็นและเย็นชา ไร้รู้สึกลึกซึ้ง


บางวันถามหาความรัก และคิดถึง
บางวัน..ถามหัวใจว่า..จะอ่อนไหวไปเพื่ออะไร?
บางเวลา...ถามตัวเองว่า...กำลังยึดมั่นกับภาพมายา ที่ปรุงแต่งเกินไปไหม?

คำตอบ..ทั้งๆที่รู้อยู่...สุข ทุกข์ เกิดขึ้น และดับหาย

....ไม่ช้า ก็เร็ว...



(หลังจากห่างเหินกวีไร้กรอบมานานนักหนาคิดถึง...จึงมานั่งรำพึงรำพัน เรียงร้อยคำเสียบ้าง ก่อนจะลืมหายไปจากความตั้งใจ)

บันทึกวันถามหัวใจ จาก เมืองชายแดน ดอกชบาบาน ปัตตานี
ภาพถ่าย ดอกลีลาวดี ริมห้องสมุดศูนย์ครูใต้




วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เส็งเคร็ง



เรื่องราวของคน...

บางครั้ง..เรียบเรื่อย ดั่งสายน้ำ
บางครั้ง..ผาดโผนดุจเสือร้าย

บางวัน..ผ่านไปอย่างสงบ เบิกบาน
บางวัน..กดข่ม ความรุ่มร้อนในใจ

เป็นเช่นนั้นจริงๆ....

บ่อยครั้ง ปิดหูข้างขวา และปิดตาข้างซ้าย 
เพื่อหยุดความวุ่นวายทั้งภายนอกและภายในใจเราเอง

แต่ในบางวัน..จิตรุ่มร้อนเกินจะเก็บไหว เพราะ อ่านสายตาของคนได้ยังกับว่าได้อ่านหนังสือสักหนึ่งหน้า
เพราะ..ไม่เพียงแต่อ่านเขาออก แต่อ่านคนใกล้ชิดเขาได้ทะลุ..ไปถึงใครอีกคน

จำเป็นต้องพูดให้ได้ยินบ้าง แม้จะไม่ใช่เสียงสวรรค์ดังคนใกล้ชิดเขาพูด..แม้จะชี้นกเป็นนกไม่ได้ เหมือนดังเช่นคนของเขาที่สามารถชี้นกให้เป็นไม้..อย่างน้อยก็สมามารถทำให้เราได้แลเห็น..สิ่งที่ซ่อนอยู่ได้ชัดเจนมากขึ้น

หากจะถูกกล่าวหาว่า..เสนอหน้าแย่งงานทำกันละก็...ขอให้รู้ว่า มีที่มาที่ไป...ทำไมไม่ถามหาเหตุกันหน่อย แต่สังคมไทยมักเป็นเช่นนี้..นายมักฟังคนพูดมากกกว่าคนทำ ไม่แปลกคุณสามารถหาได้ในทุกสังคมที่มีนายขาดความยุติธรรม.......ทำให้..อดคิดไม่ได้ว่า..หากคุณไม่ใช่เลขาที่รัก..อย่าสะเออะไปเรียกร้องความเป็นธรรมให้ใคร..แม้แต่ตัวเอง..ที่นี่ก็เป็นอีกสังคมที่มีลูกน้องไม่ทำงาน..แต่เป็นได้ทั้งนกสองหัว จิ้งจกหลากสี หรือขุนพลอยพยัก..เก่งในการหาข้อมูลรายงานนายตั้งแต่เรื่องงานยันใส่ไฟคนอื่น และเขาก็เชื่อเช่นนั้น...ช่างเหมาะสมกันจริงๆ จนเริ่มเข้าใจ เห็นภาพได้ชัดเจนและเชื่อคำครหาของผู้คนที่ได้ฟังมานาน

นอกจากนี้..ยังสามารถประเมินความสัมพันธ์..ระหว่างคน ๓ คน ดุจห่วงโซ่ที่ยึดติดกัน...แต่ในคน ๓ คน ใครคือ..ผู้ชักใย ใครเป็นเครื่องมือบ้าง..ใครคือเหยื่อและใครคือเป้าหมายระเบิดตัวจริง บางที เขาทั้ง ๓ คนคือบ่อนทำลาย เพียงเพราะเอื้อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มคนของตัวเอง..หรือเราจะคิดอะไร..ไปกันใหญ่ ??...

ความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ และคาดหวังว่า..เขายังมีดี ได้คลายคลอน ที่เคยคิด..ปากว่าตาขยิบ และแท้ที่จริง เขา..เป็นเนื้อเดียวกันกับคนชั่วก็ชัดเจน

ประเทศไทยถึงมีแต่ความวุ่นวายเพราะผู้ก่อการดีดีมีน้อยกว่าผู้ก่อการร้าย...
หรือเพราะเจ้าหน้าที่..เอาแต่ได้เช่นนี้มีอยู่เยอะจริงๆ..โจรใต้ถึงเกิดและอ้าง..ว่าเจ้าหน้าที่เอารัดเอาเปรียบ

บ่นเรื่อยเปื่อย..

เมื่อ..เราไม่มีทางหนีสังคมเส็งเคร็งได้จริงๆ..

.แต่จะทำใจยอมรับ..คนจำพวกนี้ได้นานเท่าใด...คงต้องตามอ่านใจตัวเองต่อไป


วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

ทศพิธราชธรรม




          ในความวกวนของสังคม ทุกๆ สังคม ในความซับซ้อนของหมู่คน ในแต่ละกลุ่มคน 
มีอะไรมากมายให้เรียนรู้ และกลับมาทบทวน บางครั้งเสียใจ 
ลงโทษตัวเอง 

บางครั้งหลงทางโทษคนโน้น คนนี้ 

บางทีพิจารณาว่าเขาผิด 
ทั้งที่เราเองก็ผิดหลงไปพิจาณาเขาอยู่ได้

สิ่งหนึ่งที่เคยจำและนำไปเตือนสติเพื่อนร่วมงาน ที่เคยทำงานจิตอาสาด้วยกัน..เตือนสติตัวเอง เตือนสติกลุ่มของเรา ช่วยเตือนกันและกัน เพราะเราต้องการให้งานผ่านไปอย่างราบรื่นภายใต้ความถูกต้อง ซื่อตรงและเป็นธรรมกับทุกๆฝ่าย นั่นก็คือ ทศพิธราชธรรม

ทศพิธราชธรรม คือ จริยวัตร 10 ประการ ที่พระเจ้าแผ่นดินทรงประพฤติเป็นหลักธรรม ประจำพระองค์ หรือเป็นคุณธรรมประจำพระองค์ของผู้ปกครองบ้านเมืองมาสืบมาทุกกาลสมัย 
เพื่อให้เป็นไปโดยธรรมและประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชนจนเกิดความชื่นชมยินดี


 ดังที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระจริยาวัตรปฏิบัติยึดมั่นอย่างเคร่งครัดเสมอมา 

ดังปณิธานที่พระราชทานเป็นปฐมราชโองการ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ความว่า 

"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"

 ซึ่งความจริงแล้ว ทศพิธราชธรรม ไม่ได้จำเพาะเจาะจงสำหรับพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น 
บุคคลธรรมดาที่เป็นผู้บริหารระดับสูงในทุกองค์กรก็พึงใช้หลักธรรมเหล่านี้ได้เช่นกัน


ทศพิธราชธรรม
  1. ทาน หมายถึงการให้ การเสียสละ นอกจากเสียสละทรัพย์สิ่งของแล้ว ยังหมายถึงการให้น้ำใจแก่ผู้อื่นด้วย
  2. ศีล คือความประพฤติที่ดีงาม ทั้งกาย วาจา ใจ ให้ปราศจากโทษ ทั้งในการปกครอง อันได้แก่ กฎหมายและนิติราชประเพณี และในทางศาสนา
  3. บริจาค ((ปาริจจาคะ) คือการเสียสละความสุขส่วนตน เพื่อความสุขส่วนรวม
  4. ความซื่อตรง (อาชชวะ) คือ ความซื่อตรงในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง ดำรงอยู่ในสัตย์สุจริต
  5. ความอ่อนโยน (มัททวะ) คือ ความอ่อนโยน มีสัมมาคารวะต่อผู้อาวุโสและอ่อนโยนต่อบุคคลที่เสมอกันและต่ำกว่า
  6. ความเพียร (ตปะ)คือ มีความอุตสาหะในการปฏิบัติงาน โดยปราศจากความเกียจคร้าน
  7. ความไม่โกรธ(อักโกธะ) คือ ความไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏเห็นเช่น ทำร้ายผู้อื่นแม้จะลงโทษผู้ทำผิดก็ทำตามเหตุผล
  8. ความไม่เบียดเบียน (((((((((((อวิหิงสา)คือ การไม่เบียดเบียน หรือบีบคั้น ไม่ก่อทุกข์ หรือเบียดเบียนผู้อื่น
  9. ความอดทน(ขันติ) คือ การมีความอดทนต่อสิ่งทั้งปวง รักษาอาการ กาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อย
  10. ความเที่ยงธรรม (อวิโรธนะ)คือ ความหนักแน่น ถือความถูกต้องเที่ยงธรรมเป็นหลัก ไม่เอนเอียงหวั่นไหวด้วยคำพูด อารมณ์ หรือลาภสักการะใดๆ


หลักปฏิบัติทั้ง ๑๐ ประการ  อาจยุ่งยากหรือสลับซับซ้อนจนปฏิบัติไม่ได้สำหรับบางคน  

แต่ผู้คนส่วนหนึ่งในสังคมปัจจุบัน มีความแนวคิดและประพฤติ ปฏิบัติ ลึกลับซับซ้อน 
เกินกว่าจะหยั่งถึงเพียงเพื่อให้ตัวเองสมประโยชน์ มากกว่าอีกหลายร้อยเท่า

หากองค์กรใด หรือสังคมใด มีผู้บริหารทุกระดับ ประพฤติ ปฏิบัติได้ดังนี้  
คงเป็นบุญกุศลขององค์กรนั้นโดยแท้ทีเดียว..



วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556

ลมหายใจแผ่วๆ





 ฉันเดินผ่านเวลามาหลายก้าว
ฉันเดินผ่านผู้คนมามากหลาย

ฉันเดินผ่านช่วงประสบการณ์ทั้งทุกข์ สุข เจ็บปวด ร้องให้ 
หรือยิ้มทั้งน้ำตา และเสียงหัวเราะ...

บางคน มีส่วนในความเจ็บปวด บางคนมีส่วนในความรัก และความชัง 
บางคนยังผูกพันในความเป็นเพื่อน..และมิตรภาพอันงดงาม

และมันจะผ่านไปอยู่ในอดีต ฉันจะไม่ผูกใจเจ็บ..
ฉันจะลืมวันทุกข์-สุข เจ็บปวดและหวานชื่น รื่นเริงเหล่านั้น  

เพราะฉัน กำลังกระซิบบอกตัวเอง..ว่า..จะไม่ยึดติดกับวันวาน 

จะยังไม่วิตกกับวันพรุ่งนี้

 และจะอยู่กับลมหายใจแผ่วๆของตัวเอง..เพียง ณ นาทีนี้เท่านั้น

วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

กรุงชิงหรือชิงกรุง

๒-๓ ปีมาแล้วที่เรามุ่งมั่นอยู่กับกิจกรรมงานอาสาจนกระทั่งทิ้งเพื่อนๆกลุ่มก๊วนที่เคยลุยป่าด้วยกัน

ครั้งนี้หมอนิติเวชจากรพ.ศิริราชหัวหน้าแก๊งส่งข้อความว่าจะลงมาเที่ยวน้ำตกกรุงชิง และเขารามโรม นครศรีธรรมราช อยากให้ไปเจอกันบ้าง เราเช็ควันเวลาแล้ว ตัดสินใจทันที ทำงานโดยไม่ได้หยุดพักเป็นเดือนๆ เพื่อเก็บวันหยุดไว้เที่ยว

สุขสันต์วันเจอกันพวกเขายังเหมือนเดิม ไม่มีใครอ้วนหรือผอมกว่าเดิม เหมือนเวลาไม่ได้กระชากหัวใจพวกเขาให้อ่อนล้า หรือร่วงโรยลงแต่อย่างใด

จุดนัดพบของเราและเขาคือสุราษฎร์ธานี เช้าวันนั้นฝนตกฟ้าชุ่มตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการเดินทาง จุดหมายต่อไปคือกรุงชิงโฮมสเตย์แอนด์รีสอร์ท ที่ อ.นบพิตำ

หลังอาหารเช้าที่ทางโฮมสเตย์จัดเตรียมไว้ให้แล้วเตรียมใจและกายไปเดินทางไกลกัน ระยะทางไป-กลับ ราวๆ ๘ กม.ไม่มีใครวิตกเรื่องระยะทางแต่หวั่นใจว่าเราจะเจอทากมากไหม?..



การเดินป่าจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางเข้าไปด้วยทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว
การเที่ยวป่าอย่าได้ประมาท..แม้แต่เรื่องเดียว อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ

เดินไประยะหนึ่ง เจ้าหน้าที่อุทยานชี้ให้เราแวะชมต้นไม้ ที่มีลักษณะใบคล้ายปาล์ม คล้ายใบพ้อ แต่มีลำต้นเล็กและสูง ใบเป็นแฉกๆ  เรียกว่าต้นชิง  เราจึงเรียกว่าต้นไม้เจ้าถิ่น.

ชาวบ้านเรียก..กรุงชิง..มาช้านานซึ่งอาจเป็นเพราะเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีต้นชิงอยู่มากมาย อยู่ในเขตนบพิตำ อ.ท่าศาลา แต่ปัจจุบันได้ยกฐานะเป็น  อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช มีลักษณะเป็นป่ารกทึบ ที่ล้อมรอบไปด้วย เขาหลวง เขาปลายกะทูน เขาเคี่ยม เขากลม

ปี ๒๕๑๔-๒๕๑๙ เกิดสถานการณ์ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ เคลื่อนไหวอย่างหนัก ปลุกระดมมวลชน โฆษณาชวนเชื่อ โจมตีเจ้าหน้าที่ ยึดอาวุธไว้ได้จำนวนมากจนกระทั่งสามารถจัดตั้งเป็น
กองทัพเข้ายึดพื้นที่บริเวณนี้ได้โดยใช้ชื่อ..กองทัพ ปลดแอก ประชาชนแห่งประเทศไทย...

ปัจจุบันยังมีหลักฐานบางอย่างหลงเหลือให้เราได้เก็บมาค้นหา ค้นคว้าข้อมูลเรื่องราวในประวัติศาสตร์เป็นเครื่องประดับปัญญา


ปี ๒๕๒๐ ทหารนาวิกโยธิน สามารถปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์และยึดค่ายกรุงชิงได้สำเร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จและทรงทราบว่าพื้นที่บริเวณนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯจัดตั้งเป็นโครงการพระราชดำริ ทรงให้สร้างทางเข้าพื้นที่และทำโครงการชลประทานเพื่อให้ราษฎรได้เข้าไปอยู่อาศัย ดังนั้นทหารนาวิกโยธินจึงต้องอยู่รักษาพื้นที่ให้ประชาชนได้ประกอบอาชีพและถอนกำลังออกจากพื้นที่เมื่อปี ๒๕๒๕




เจ้าหน้าที่เล่าว่าหากเดินต่อไปในป่าลึกราว ๓-๔ วันจะพบซากเมือง ซากตึก ซากปรักหักพังซ่อนอยู่ซึ่งแสดงให้รู้ว่า พื้นที่บริเวณนั้นเคยเป็นเมืองหรือมีความเจริญรุ่งเรืองในอดีตทำให้เรานึกถึงความเจริญในยุคสมัยศรีวิชัยนั่นเลย..จึงนึกสนุกถามน้องๆว่า..เราจะลองหาเวลาไปกันไหม?







ระหว่างทางเดิน แม้หนทางจะสะดวกสบาย เราได้พบพันธ์ไม้ใหญ่ ต้นใหญ่มากๆ หลงเหลืออยู่ในป่าแห่งนี้อย่างเช่น ต้นหลุมพอยักษ์ ดอกไม้ป่าชนิดต่างๆ เห็ดป่าซึ่งอาจมีพิษ จากการเดินป่าหลายๆครั้ง..เห็ดหลายชนิดที่เราเห็นสวยงามอาจมีพิษหากรับประทานได้คงเป็นอาหารสัตว์ไปแล้ว เพื่อนๆเดินล่วงหน้าไปเยอะแล้ว แต่เรามัวแต่แวะนั่นดูนี่ ฟังเจ้าหน้าที่อธิบายว่าอะไรเป็นอะไร ถ่ายรูปบ้างไรบ้าง







ป้ายบอกชื่อน้ำตกกรุงชิงแต่ละชั้นๆ 



ปกติบ้านเรามีใบไม้สีเขียวครึ้มทั้งป่า คงมีไม่มากที่พบใบไม้สีสวยงดงาม อย่างเช่นใบเมเปิลที่ภูกระดึง ภูหลวงหรือยอดดอยที่มีอากาศหนาว
ในป่ากรุงชิง..เราสามารถมองเห็นงดงามของใบไม้ซึ่งแตกต่างจากไม้สีเขียวโดยทั่วไปได้บ้าง


เกือบถึงจุดสุดท้ายเจ้าหน้าที่พาปีนบุกป่าไม้ไผ่ลงไปถ่ายรูป จำได้ว่าเรียกน้องๆ ผู้ชายที่เดินมาด้วยกันไม่มีใครตามลงไปสักคน 


น้ำตกกรุงชิงถ่ายจากที่สูง เดินลงไปอีกเล็กน้อยและมองกลับขึ้นมาน้ำตกแตกซ่านกระเซ็นเป็นละอองฝอยๆ สัมผัสผิวเย็นเยียบ รู้สึกสบายจนอยากนอนพักเป็นวันๆ

บ้างก็ลงเล่นน้ำสัมผัสความเย็นฉ่ำกันอย่างจริงจัง..พักผ่อนทั้งใจทั้งกายจนอิ่มอกอิ่มใจ

การเดินทางไป..เหมือนการรอคอยสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือรอคอยใครสักคน..ช่างเนิ่นนานเหลือเกิน
การเดินทางกลับ...ระยะทางเท่ากัน..รวดเร็วจนลืมเรืองราวระหว่างทาง

แต่แน่นอนไม่มีลืมความประทับใจระหว่างกัน

(น่าเสียดายล่องแก่งคลองกลายไม่มีภาพเพราะการพกพากล้องล่องแก่งเป็นอุปสรรคของความสนุก)


ขอบคุณข้อมูล..กรุงชิงจาก...
http://www.gun.in.th/2012/index.php?topic=112267.0

วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

งานอาสากับความศรัทธาในหมู่คนไม่ศรัทธา

กำลังตัดสินใจว่าระหว่างเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมานานแล้ว
และอดีตที่เพิ่งผ่านมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะเริ่มเรื่องใดก่อน


เรื่องราวเมื่อหลายๆปีมาแล้วยังคงเป็นความทรงจำที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะหลายครั้งทีเดียว

และเรื่องราวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็เป็นความทรงจำจากการเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนกับเพื่อน
พี่น้อง คอเดียวกัน อีกครั้งหลังจากห่างกับพวกเขามานานหลายปี

และหลายวันที่ผ่านมายุ่ง วุ่นวายกับงาน หวั่นไหวและว้าวุ่นกับพฤติกรรมคนจึงไม่ได้เริ่มต้นสักที

ขณะที่พิมพ์ก็ยังไม่ตัดสินใจ บ้างก็พักเปลี่ยนโหมดอารมณ์ไปดูข่าวผลการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ทั้งที่เราไม่มีสิทธิ์เลือกเขา เพราะเราเป็นคนชายขอบ ชายแดน 

ระหว่างทำงานก็หวั่นใจหลายอย่าง ถอดใจกับหลายเรื่อง 
...ความศรัทธา..ในหมู่คนขาดความศรัทธา 
กิเลสกระจายเต็มหัวใจของพวกเขา เล่นเกมต่อสู้กันในเชิงชีวิต
ใช้เล่ห์ เหลี่ยม เพทุบายเพื่อตัวเองได้มีที่ยืน

ทำให้เราขลาดที่จะต่อสู้อยู่เพียงลำพัง

แม้เบื้องหน้าจะเป็นดอกไม้สวยแต่เกสรมีพิษ
หันซ้ายพบเสือ หันขวาก็เจอปืนจ่อ
เหลียวมองหลังพบดาบคมกริบ


จิตอาสาอยู่ที่ใดก็มีความสุขที่ได้ทำ ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับที่ใดที่หนึ่งใช่ไหม?
โดยเฉพาะที่ๆมีแต่คนทำเพราะหน้าที่ หรือผลตอบแทนมากกว่าหัวใจเพื่อสาธารณะ
ทั้งยังจ้องฟัดเอ๊ยฟาดฟันเพื่อช่วงชิง..??

เมื่อเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก และทำงานอาสากับคนที่มีหัวใจอาสาจริงๆ
สัมผัสมือ สัมผัสใจกันกี่ครั้งเราก็ยังรับรู้ถึงหัวใจที่เต็มไปด้วยพลังแห่งความจริงใจเสมอ
รับรอง..มันไม่ใช่ความฝัน..เมื่อคนอาสาและอาสามาพบกัน..

และตัดสินใจ(เปลี่ยนโหมดอารมณ์) ณ บัดเดี๋ยวนี้..เก็บบทความเก่าๆ ที่เคยเขียนเชิงท่องเที่ยวเคยพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เมื่อหลายปีก่อนเก็บรวบรวมไว้เป็นเรื่องราวเดียวกัน ทั้งที่บทตอนและห้วงเวลาแตกต่างกัน แต่อาจบอกเล่าเรื่องราวและสถานการณ์ในหนหลังได้อย่างชัดเจน
เริ่มจากเรื่องแรก...เดินป่าดึกดำบรรพ์ วันฝนโปรยปราย
หลังจากเขียนบทความลงบล๊อกและถูกเลือกลงหนังสือพิมพ์โดยไม่เคยคาดหวังมาก่อน 
นาทีนั้นความตื่นเต้นจุกอก ไม่ต้องอธิบายเพราะอธิบายความรู้สึกดีใจมากๆ เช่นนั้นไม่ได้

เมื่อมีเรื่องแรก แรงบันดาลใจทำให้เกิดเรื่องที่ ๒ และเรื่องที่ ๓ เรื่องที่ ๔ ความตื่นเต้นดีใจค่อยเบาลง
 เบาลงเรื่อยๆ แต่ก็ยังภูมิใจในสิ่งที่ทำแล้วมีความสุขเสมอ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เคยทำร้ายใคร มีแต่จะทำให้หลายๆคนมีความสุข และสนใจในสิ่งที่นำเสนอบ้าง

สายน้ำ สานใจกลางกรุง  เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นเพื่อน พี่น้อง ที่เคยร่วมสู้ กอดคอกันเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย ท่ามกลางเสียงระเบิด เสียงปืนและแก๊สน้ำตาเมื่อ ๗ ต.ค.๕๑

วันเสาร์ อาทิตย์ วันหยุดหรือยามว่างมักหาเรื่องออกจากที่พักไปเรื่อยเปื่อย เก็บภาพถ่ายไว้และค้นหาข้อมูล เรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องราวที่สนใจ บอกเล่าด้วยความรู้สึกของตัวเอง 
วันหนึ่ง..นัดกับพี่สาวท่านหนึ่งซึ่งรู้จักบนโลกออนไลน์..นั่งรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปลพบุรีกัน ๒ คน ไปในที่ๆไม่เคยไป โดยใช้ข้อมูลจากหนังสือนำเที่ยว ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยงๆ แต่ เรามีความสุขมาก เราเก็บเรื่องราวในประวัติศาสตร์จากโบราณสถานได้มากทีเดียว จนกระทั่งมีเรื่องที่ ๓ ราชธานี ที่ ๒ ลพบุรี

หลายๆคนอาจกลัวเพื่อนที่พบเจอกันในโลกออนไลน์ แต่สำหรับเราโลกออนไลน์ทำให้เจอเพื่อนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน จากรู้จักในนาม..ชื่อนั้น ชื่อนี้ หรือนามแฝงต่างๆ เราก็ค่อยๆ เปิดเผยตัวตนจนกระทั่งเป็นเพื่อน พี่น้อง พบปะ พูดคุยและทำงานอาสาหลายๆอย่างร่วมกัน บางคนเดินทางมาจากต่างประเทศเช่นพี่สาวท่านนี้..พี่แหม่ม กะปิสวิส อยู่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ วันหนึ่งเธอก็ส่งข้อความว่ากำลังเดินทางมาเมืองไทยวันนั้นวันนี้ อยากไปเที่ยวอุบลราชธานี เราจึงนัดหมายเพื่อนในโลกออนไลน์อีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยอุบลฯ เป็นมัคคุเทศน์กิตติมศักดิ์


เรื่องที่ ๔ ย่ำเยือนภูผาหิน เลียบเลาะริมโขง ความทรงจำที่ประทับใจริมฝั่งแม่น้ำโขง 
ทริปนี้เป็นอีกทริปหนึ่งที่จำฝังใจ ไม่ลืมไม่เลือน 
ความประทับใจในแต่ละครั้งคราวถูกถ่ายทอดออกมาเป็นบทความบ้าง บทกลอนบ้าง หรือแม้แต่บันทึกความทรงจำที่เก็บไว้เป็นความลับ
หลังจากนั้น..เราไม่ได้เขียนอีกเลยเนื่องจากระยะหลัง กระโดดลงทำงานจิตอาสาเยอะมาก วันทำงานอยู่กันดึกดื่น วันหยุดก็ร่วมทำกิจกรรม อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องเจ็บป่วยของคุณพ่อ

ผลนับคะแนนผู้ว่าฯกทม.เสร็จแล้ว ๑๐๐% ผู้ว่าฯคนเก่าจากพรรคเก่าแก่ได้กลับมาอีกสมัยทั้งที่ไม่มีผลงาน คนกรุงเทพฯคงใช้ตรรกะ..เลือกคนหรือพรรคที่ชั่วน้อยกว่า...
อุ๊บบบ..กลับเข้าโหมดการเมืองได้อย่างไร?

บางทีการไม่ผูกมัดกับองค์กร ไม่ผูกพันกับใคร เพื่อความสุขและอิสระโดยทำงานอาสาคู่กันไปไม่ต้องคอยระแวงหน้าระหวังหลัง น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ