วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
คือความพิเศษ
คัดลอกมาจากที่ใหนจำไม่ได้ จึงขออนุญาตตั้งชื่อเอง
และขออนุญาตมาเผยแพร่อีกสักครั้ง เพราะชอบหลายบทหลาย และน่าจะตรงใจใครหลายคนด้วย.
"ชีวิตคนเรามีอะไรมากมายที่ผ่านเข้ามาให้ซึมซับรับรู้
ในชีวิตคนเรามีผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาให้รู้จักมักคุ้น
แต่ในผู้คนมากมายเหล่านั้น
อย่างน้อยคงต้องมีใครบางคนที่ทำให้เรารู้สึกไม่ธรรมดา ที่จะนึกถึง
เรียกว่าเป็นความพิเศษ
ที่เรายกเว้นเอาไว้จากความปกติทั่วไปของจิตใจ
ก็ในเมื่อคำว่า พิเศษ หมายถึงความจำเพาะ ความแปลกแยก
ความดีงาม ความอบอุ่นในหัวใจ
กระนั้นทำไมเราไม่ปฏิบัติต่อเขาให้ตรงกับใจคิด
ให้ความรู้สึกที่ดีดี จากจิตใจที่ดีดี
ให้ความอาทรถึง จากจิตใจที่นึกถึง
ให้ความห่วง จากจิตใจที่เป็นห่วง
ให้ไปเถอะ ให้ไปอย่างดีดี แต่มีสติ
ให้ไปถอะ ให้ไปอย่างอบอุ่น แต่ไม่คุกรุ่น
ให้ไปเลยให้ไปเท่าไรก็ได้
แต่เมื่อให้ไปแล้วต้องไม่ร้อนรุ่มกลัดกลุ้ม
และหากเมื่อใดจิตใจอาจระส่ำระสาย สะดุดกับอะไรขึ้นมาบ้าง
ก็จงหยุดพักตรึกตรอง อย่าปล่อยให้พายุอารมณ์โถมพัด
สิ่งดีดี จนกระจัดกระจาย
เพราะการให้ความหมายมิใช่ การตั้งความหวัง
คนสองคนให้ความหมายซึ่งกันและกัน
แต่คนสองคน จะไม่ตั้งความหวังในกันและกัน
เพราะการตั้งความหวังมักนำพาซึ่ง การเรียกร้อง
ความอยากเป็นเจ้าเข้าเจ้าของโดยไม่รู้ตัว
มันร้อนนัก หนาวนัก และไม่เป็นสุข
เราต้องไม่ลืมปรับอุณหภูมิจิตใจเอาไว้ที่องศาอุ่นๆ
หากเริ่มรู้สึกตัวว่า ความร้อนเริ่มทวีขึ้น เราต้องค่อยๆ
เดินออกมาสูดอากาศเย็น
หากตรงกันข้ามเราต้องหลบเร้นจากความหนาวมาหาไอแดดเช่นกัน
และอย่าลืมว่า ความพิเศษ ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องพิเศษมากหรือพิเศษสุดสุด
หรือพิเศษอย่างยิ่งในคนเดียว
ทั้งเราและเขาอาจจะมีคนพิเศษในวิถีชีวิตได้หลายลักษณะ
พิเศษในเรื่องนั้น พิเศษในเรื่องนี้
ในเมื่อหัวใจเป็นของเรา
เราก็ย่อมเลือกให้ความพิเศษกับใครก็ได้
ที่เราไม่ต้องแลกกับความทุกข์อย่างพิเศษกลับมา
จงให้ ความพิเศษ เป็นชีวิตชีวา
เป็นแววตาที่แจ่มใส
เป็นความห่วงใยที่เมื่อนึกถึงทีไรก็ยิ้มได้
ไม่วิ่งหนีแต่ไม่วิ่งตาม
ไม่หักห้าม แต่ไม่กระโจนใส่
ไม่เป็นน้ำตาลที่หวานอ่อนไหว
แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจและเอื้ออาทร
จงเป็นความแจ่มใสในอารมณ์ของตัวเอง เป็นความชุ่มชื้น สดใสเช่นสายน้ำ
เป็นสีสันงดงามเช่นมวลผกา เป็นสีเขียวของใบไม้ ที่เย็นตาและที่ใจ
และที่ตรงนี้ จะอีกนานเท่าใดไม่ว่า คนพิเศษ คนนั้น
จะอยู่ใกล้หรือต้องจากกันใกล
ความพิเศษ นั้นก็จะคงอยู่อย่างมีคุณค่า ณ ที่เดิม
ที่ซึ่งหัวใจข้างซ้ายตรงกัน"
ขอบคุณเจ้าของบทกวีร้อยแก้วนี้อีกครั้ง
(เคยบันทึกไว้ที่ www.warintira.multiply.com เมื่อ Oct 14, '08)
อยากร้องให้แล้วมีความสุข
ทบทวนอดีต
ยอมรับว่าอดีตคืออดีต โดยไม่ปฏิเสธหรือเมินเฉย
รำลึกถึงอดีต แต่อย่าจมอยู่กับมัน
เรียนรู้จากอดีต แต่อย่าลงโทษตัวเอง
หรือมัวแต่เสียใจกับสิ่งที่คุณเคยทำ อย่ายึดติดอยู่ในอดีต
วิธีเสียใจอย่างมีความสุข
การเสียใจแล้วจมอยู่กับความซึมเศร้าต่างจากการเสียใจแล้วหลุดพ้นอย่างไร?
ปมความรู้สึกผิดที่ค้างคาอยู่ในใจจะทำให้กระบวนการเสียใจ
ดำเนินไปอย่างไม่ดีเท่าทีควร
เช่น ถ้าคุณโกรธมากแต่ไม่ยอมรับ หรือมีเรื่องอึดอัดใจ แต่ไม่ได้สะสาง
คุณจะผูกติดอยู่กับความรู้สึกนั้น จนไม่สามารถปลดปล่อยความเศร้าโศก
ในใจออกมาจนหมด ดังนั้นคุณจึงไม่สามารถเสียใจด้วยความรู้สึก
สูญเสียและความรักได้อย่างแท้จริง
คุณควรร้องให้คนเดียวหรือไม่ ควรร้องให้ต่อหน้าคนอื่นหรือไม่?
คนเรามักอายเมื่อร้องให้ให้คนอื่นเห็น เพราะกลัวใครๆจะพูดว่า
”โธ่!ไม่น่าเลย โตแล้วแท้ๆ ไม่ควรเลย” บางทีเราอาจไม่อยาก
ให้คนอื่นเห็นเราร้องให้ เพราะกลัวว่าพวกเขาจะพลอยเศร้าไปด้วย
หรือไม่ก็อาจกลัวว่าคนอื่นจะคิดว่าเราอ่อนแอและไม่ดีพอ
จริงอยู่เมื่อเห็นคนอื่นร้องให้ เรามักวางตัวไม่ถูกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ถ้าคนๆนั้นเป็นคนที่เรารัก ขอแนะนำให้คนในครอบครัวและเพื่อนๆ บอกคน
ที่กำลังร้องให้ ให้เศร้าโศกเสียใจให้เต็มที่ วิธีที่ดีที่สุดคือ
การเห็นใจ เข้าใจ และให้กำลังใจโดยพูดว่า
“ไม่เป็นไรฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเอง หรือฉันจะช่วยทำทุกอย่าง
ที่คุณต้องการ จนกว่าคุณจะหยุดร้องให้นะ แต่ถ้าคุณอยากร้องให้
ต่อไปอีก ก็ไม่เป็นไรนะ”
เมื่อคุณเสียใจ คุณไม่ควรซ่อนเร้นความรู้สึกนั้นไว้ไม่ให้คนในครอบครัว
เพื่อนๆหรือคนที่มาเยี่ยมเห็น คุณควรคิดว่า ฉันเสียใจ ฉันยอมรับว่า
“ฉันเสียใจและอยากให้คุณยอมรับด้วย อย่าหนีความจริงเลย
ถ้าอยากร้องให้กับฉันด้วยก็ได้ ถ้าไม่อยากก็สุดแล้วแต่คุณ
แต่อย่ารู้สึกไม่ดีนะ เพราะคุณควรรู้ว่า การร้องให้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับฉัน
ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเมื่อได้ร้องให้ คุณน่าจะสบายใจเมื่อเห็นฉันร้องให้”
หลังร้องให้คุณจะรู้สึกปลอดโปร่งเพราะได้ปลดปล่อยความเศร้าออกมา
แต่ไม่ได้หมายความว่า ความเศร้าของคุณจะหมดไป และไม่ได้หมายความว่า
การร้องให้จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เพียงแต่เมื่อคุณร้องให้คุณจะสงบนิ่ง
และรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเท่านั้นเอง
จากหนังสือ..ปรัชญาชีวิตจากครูมอร์รี่
เขียนโดย..MORRIE SCHWARTZ
แปลโดย..จิรันธรา ศรีอุทัย
(ผู้เขียนเคยบันทึกเผยแพร่ใน www.warintira.multiply.com เมื่อ Apr 20,2009 บัดนี้เว็บดังกล่าว
กำลังจะปิดตัวจึงย้ายข้อมูลเก่าๆ มาเก็บไว้)
วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
ใต้ร่มเงาของแม่..และความพอเพียงของพ่อ
วันเวลาล่วงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อครั้งฝังตัวเองอยู่ในสังคมเมืองหลวง..เราก็ว่าเวลาผ่านไปอย่างเร็ว อย่างเร่งร้อนและเร่งรีบ
บางครั้งรู้สึกเหนื่อยและล้า แต่ก็ยังพอใจอยู่อย่างนั้น แม้จะสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ยิ้มบ้าง ร้องให้บ้าง
วันนี้กลับคืนถิ่นบ้านเกิด
เวลาก็ยังผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นเดิม
แต่ไม่ต้องเร่งเร้า รีบร้อนแข่งกับเวลา
แม้ฝนจะตก ฟ้าร้อง แสงแดดแผดเผาโดยไม่รู้จักฤดูกาล
หัวใจยังไม่ร้องให้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะยังคงกึกก้องอยู่ในหัวใจของตัวเอง
ภายใต้ร่มเงา..แม่ของแผ่นดิน ลูกรู้สึกอบอุ่น ร่มเย็นและมีความสุขเสมอแม้ภยันตรายจะซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลตัว แม้ชีวิตต้องเผชิญหน้ากับอันตราย
ลูกจะขอเดินตามรอยเท้าของพ่อหลวงทุกๆย่างก้าวอย่างพอเพียงและเพียงพอและตั้งใจทำงานตามแรงศรัทธาด้วยความมุ่งมั่นเพื่อตอบแทนคุณของแผ่นดินและด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อพระเจ้าแผ่นดินสืบต่อไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)