วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๖





ห้วงเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันแล้ว วันเล่า ปีแล้ว ปีเล่า
สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ดับหาย บ้างก็ทุกข์ บ้างก็สุข บ้างก็ยิ้มได้ บ้างก็หัวเราะ 

บ้างก็แอบกรีดน้ำตาให้กับความอ่อนแอ

ซึ่งทุกสิ่งเป็นไปตามวัฎจักรของชีวิต
ไม่มีทุกข์นิรันดร์ ไม่มีสุขทั้งชีวิต



บางครั้งดีใจที่ได้คิดทำเรื่องราวดีๆ กับคนส่วนใหญ่ 
บางครั้งเสียใจที่ได้ทำร้ายจิตใจโดยไม่ตั้งใจ แม้เพียงคนๆเดียว


นับจากวันนี้ ซึ่งไม่รู้จุดหมาย..ว่าชีวิต คนๆหนึ่งจะอยู่ได้ถึงเมื่อใด

เพียงขอส่งความปรารถนาดี ถึงทุกๆชีวิต ที่ผ่านมาเยือน 
และผ่านไปทั้งที่ทักทายด้วยมิตรจิตอันดีและก่ออคติโดยมิตั้งใจ 
จงประสบแต่ความสุข ความเจริญ ไร้โรคภัยเบียดเบียน 
สมปรารถนาในสิ่งที่วาดหวัง มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ 
แข็งแรงและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มภัยตลอดกาลนานเทอญ.

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

จิตเริงระบำ




วันแรกที่พอเห็นแสงพระอาทิตย์ หลังจากฟ้าหมองมาร่วมสัปดาห์
ฝนตกพรำๆ ฟ้าปิดตลอดเวลา บางครั้งพายุฝนก็ซัดลงมาอย่างไม่รั้งรอ
ทั้งซัดใจคน..กระจัดกระจาย มิอาจควบคุมได้

เช้าวันนี้..ยังพอได้ยินเสียงนกขับขานเพลงไพเราะ
ยังพอได้เห็นต้นหญ้าเริงระบำ..ตามจังหวะสายลมอ่อน
ต้นไม้น้อยใหญ่...ยืนหยัดอย่างสงบดั่งรอจังหวะ สะบัดกิ่งใบ

หยดน้ำค้าง..พร่างพรมยอดหญ้า..รอทักทายแสงแดดในยามสาย

จิตที่เคยแบกรับ..ความมัวหม่น ค่อยๆคลายลงตามจังหวะเวลา
ค่อยๆ ผ่อนลงตาม ความรู้สึกสำนึกได้

ผ่อนลมหายใจ..เข้าออก ยาวๆ ลึกๆ 
ระลึกตามจิตตัวเองให้ทัน...ผิดบ้าง ถูกบ้าง ช้าบ้าง เร็วบ้าง ทันบ้างไม่ทันบ้าง..ยังพยายามต่อไป

ก็จิตเรานี้..ซนเสมือนลิง กระโดดโลดเต้น ตลอดเวลา 
หลอกตัวเองบ่อยจนเผลอเรอ..พาจิตฟุ้ง..กระจาย

ทั้งเจ็บ..ทั้งระบม กว่าจะหอบเอาจิตกลับมาตั้งไว้ ณ จุดเดิม





วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ที่นี่ไม่มีครู


ชาติยืนยงอยู่ได้อย่างยั่งยืน
และมั่นคง..
นอกจากเรามีแผ่นดินให้อยู่อาศัยอย่างอิสระและเป็นเอกราชสืบมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
เรามีพระเจ้าแผ่นดินเป็นพ่อ..แม่ของแผ่นดิน เป็นร่มโพธิ๋ ร่มไทรของปวงประชา เป็นประเพณีสืบทอดมาตั้งแต่โบราณกาล

เรามีทหารเป็นรั้วของชาติ ปกป้องคุ้มภัย ในทุกๆยามเมื่อชาติมีภัย เมื่อประชาชนต้องประสบกับความเดือดร้อนในการดำเนินชีวิต


เรามีครูเป็นแม่พิมพ์ของชาติ เป็นความหวัง เป็นอนาคตของชาติทุกยุคทุกสมัย

เมื่อเราเป็นเด็ก..แม้ไม่เคยคิดฝันเป็นครู แต่ครูของเราเป็นครูด้วยจิตวิญญาณที่เรายังคงระลึกถึงด้วยความรัก ศรัทธาและบูชา..ครูทุกๆคน
ประสบการณ์ในวัยเด็กเคยสอนเราร่วมซ้อมหลบภัยเมื่อ จคม.ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวณชายแดน..ครูของเราในวันนั้นยังอยู่กับเรา กับชาวบ้าน ไม่ทิ้งเราไปไหนทั้งที่ในยุคสมัยนั้น..
เรียกว่าไกลปืนเที่ยงทีเดียว

แม้เราไม่เข้าใจบทบาทของทหารแต่เมื่อบ้านเมืองประสบภัย..การเมือง ความมั่นคง ปัญหาชายแดน หรือแม้แต่บ้านเมืองประสบปัญหาอุทกภัยอย่างรุนแรง ทหารคือกำลังหลัก ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญและองอาจ เสมอมา



ยุคเมื่อสมัยเราเป็นเด็กและยุคสมัยเราเป็นผู้ใหญ่..ความรู้สึกนึกคิด..จิตวิญญาณของผู้ปฏิบัติหน้าที่เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปมากหลายแง่หลายมุม หลายทัศนคติ



หลังจากสถานการณ์ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องสูญเสียบุคลากรครูไปหลายท่าน ทำให้ครูต้องตัดสินใจย้ายออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วนจำนวนมาก ทำให้โรงเรียนขาดครูชาวไทยพุทธ ทำให้นักเรียนขาดขวัญกำลังใจอย่างยิ่งยวด

ครูประกาศต่อหน้าผู้ปกครอง นักเรียนและฝ่ายรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงอย่างชัดเจน
"ขอให้นักเรียนอดทนอีก ๒ เดือน..สอบและปิดเทอม
ครูไม่ทิ้งนักเรียนแต่ครูขอไปก่อน"

ในห้วงเวลาวันเดียวกัน..ในสถานการณ์เดียวกัน

รั้วของชาติ ผู้เสียสละเวลา ครอบครัวและชีวิต ลุกขึ้นประกาศวอนขอครูเสียงดังฟังชัดเช่นกันว่า
"ในเมื่อขอให้นักเรียนอดทน..อีก ๒ เดือน..ในฐานะที่เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ขอให้ครูอดทนอยู่กับนักเรียนอีก ๒ เดือนเท่านั้น ฝ่ายรักษาความปลอดภัยจะคุ้มภัย  อย่างเข้มแข็ง อย่างดีที่สุด"

และแม่พิมพ์ของชาติ..ปฏิเสธอย่างแข็งขัน 

ผู้สังเกตการณ์อย่างเรา..รู้สึกประทับใจ ภูมิใจและมั่นใจกับการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายทหาร มั่นใจในความตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงโดยไม่เกี่ยงงอนใดๆ พร้อมจะร่วมรับ ร่วมแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

และ..ผิดหวังแทนเด็กๆ รู้สึกเจ็บปวดเมื่อคิดต่อไปว่า..เราจะฝากอนาคตของชาติไว้กับใคร?

เยาวชนลุกขึ้นถามผู้ใหญ่ว่า..เมื่อไม่มีครู..ใครจะสอนหนู?


วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่




เศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ สองอย่างนี้จะทำความเจริญแก่ประเทศได้ 

แต่ต้องมีความเพียร
แล้วต้องอดทน 
ต้องไม่ใจร้อน
ต้องไม่พูดมาก
ต้องไม่ทะเลาะกัน

ทฤษฎีใหม่นี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ก็มาจากการปฏิบัติ ซึ่งเป็นการปฏิบัติของคนอื่นด้วยมาตั้งแต่ต้น ทฤษฎีใหม่นี้ ความจริงทางราชการได้ปฏิบัติมาหลายปีแล้วก่อนที่เกิดเป็นทฤษฎีใหม่ในพระราชดำริ คือการพัฒนาทางการเกษตรโดยเฉพาะปลูกหลายอย่างในที่เดียวกันหรือผลัดปลูกหมุนเวียน

เมื่อเป็นทฤษฎีใหม่แล้ว ก็มาเข้าเป็นเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง คนที่ทำนี้ต้องไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ฟุ้งเฟ้อ ได้เขียนไว้ในทฤษฎีนั้นว่าลำบากเพราะผู้ที่ปฏิบัติต้องมีความเพียรและต้องอดทน ไม่ใช่ว่าทำง่ายๆ
 ไม่ใช่บอกว่าเป็นทฤษฎีของในหลวงแล้วจะทำได้สะดวก  และไม่ใช่ว่าทำได้ทุกแห่ง ต้องเลือกที่ ถ้าค่อยๆทำไป ก็จะสามารถขยายความคิดของทฤษฎีใหม่นี้ไปได้โดยดัดแปลงทฤษฎีนี้ แล้วแต่สภาพของภูมิประเทศหรืออาจจะช่วยสภาพภูมิประเทศโดยเฉพาะหาแหล่งน้ำเพิ่มเติม

พระราชดำรัส
พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าถวายชัยมงคล
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต
วันศุกร์ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑
(จากหนังสือ คำพ่อสอน)

ขอบคุณภาพจาก อินเตอร์เนต


วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทุกข์ สุขเดินทางเป็นวงกลม

พญาเสือโคร่ง ดอยวาวี เชียงราย

ฤดูกาลนี้ของทุกๆปี บรรยากาศหน้าหนาวมาเยือนคนเมืองกรุง เมืองเหนือและแถบอีสาน
แต่สำหรับคนใต้ ต้องเผชิญหน้ากับฤดูกาลน้ำฝนเยือน

ช่วงฤดูกาลเช่นนี้ของทุกปี แผนการเดินทางมักเกิดขึ้น ไม่อยู่ป่าเหนือก็ไปอีสาน
แต่ปีนี้..พิเศษกว่าทุกปี เพราะไม่มีแม้แต่แผนการเดินทาง

ได้แต่แอบนึกคิด..รอโอกาสเหมาะๆ ยังมีเวลาสำหรับการแสวงหา แสวงโหย อีกมากมาย


ช่วงเวลานี้..ปีที่แล้ว
น่าจะอิ่มจนกระทั่งเอือม..บรรยากาศหนาวเหน็บและควันพิษ..ตั้ง ๓ เดือนเศษที่เชียงใหม่
วันเดินทางกลับพร้อมเจ้านาย..บอกว่า ไม่ไปอีกแล้ว ส่งตั๋วเครื่องบินให้ ก็ปฏิเสธ..
แต่ยังคิดถึง...ความรัก ความอบอุ่นจาก..ครอบครัวของเจ้านาย อาม่า เจ๊เพ็ญ อากง หรือแม้แต่เจ้านายซึ่ง่แม้จะทะเลาะกัน(เรื่องงาน)ก็ไม่โกรธหรือชัง เพราะในความบ้าบิ่น เขาก็ยังเป็นคนดี

เชียงใหม่


ที่สำคัญ..บุกเชียงใหม่ ได้ย่ำไปทุกที่..ที่อยากไป...
คนเดียวก็มีความสุข เพราะไม่มีใครขัดจังหวะโฟกัสความงดงาม


เวลาผ่านไปรวดเร็วเกินกว่าคิดตั้งตัว
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วจนตั้งตัวไม่ติด
เพียงแค่ปีผ่าน...อะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้น เปลี่ยนไป ทั้งสูญเสีย และได้รับ แม้จะทดแทนกันไม่ได้

ณ วันนี้..ความสุขเบ่งบานอยู่ในใจ
โดยไม่ต้องเดินทางไกล
ไม่ต้องแพคเป้ แบกเต๊นท์ เดินป่า
(แต่บางคราก็อยาก..สงบ ทั้งที่พระท่านว่า..ความสงบเกิดที่จิตเราไม่ใช่ธุดงค์ป่า)

ทุ่งโนนสน พิษณุโลก


หลายครั้ง หลายหน..เราค้นพบความสุขได้โดยไม่ต้องเดินทาง

เพียงแต่เราค้น..ตัวเองให้เจอ..รู้ลมหายใจเข้าออก สติตั้งอยู่กับปัจจุบัน 
เรียนรู้ การเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง รู้ทุกข์...สุข..ว่า เกิดขึ้น..และหายไป วนไปวนมาอยู่เช่นนั้น




วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วันพ่อ..โครงการฟาร์มตัวอย่างในพระราชดำริฯบ้านน้ำดำ ปัตตานี

ศาลาทรงงาน


เมื่อปีที่แล้ว ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ผู้เขียนมีโอกาสได้เฝ้ารอรับเสด็จพ่อหลวง ณ โรงพยาบาลศิริราชโดยไปจับจองพื้นที่เฝ้ารอตั้งแต่เย็นของวันที่ ๔ ด้วยจิตมั่นหมาย 

ปีนี้อยู่ห่างไกลและติดภารกิจที่ยังยุ่งอิรุงตุงนัง มิอาจแยกตัวเองออกห่างไปได้ จึงเฝ้ารอ เฝ้าดูติดตามข่าวสารปวงประชาของพระองค์ท่านที่หลั่งใหลกันเข้าจับจองพื้นที่ทั้งบริเวณโรงพยาบาลศิริราชและหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมจนกระทั่งเต็มพื้นที่..ล้นพื้นที่ออกไปสุดลูกหูลูกตา กลายเป็นพื้นที่สีเหลืองอร่ามตา บานสะพรั่งทั้งแผ่นดิน สะท้อนให้เห็นถึงแผ่นดินของพระมหากษัตริย์อย่างไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆอีก และเชื่อว่าพี่น้องคนไทย..มีความสุขที่สุด  
รู้สึกปลื้มปิติและน้ำตาเอ่อขอบตาอย่างไม่รู้ตัวเช่นเดียวกับผู้เขียน

ขอบคุณภาพ จาก อินเตอร์เนต

ส่วนภายในโครงการฟาร์มตัวอย่างในพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ บ้านน้ำดำ ปัตตานี หน่วยเล็กๆ ในพื้นที่เสี่ยง มีกิจกรรมช่วงเช้าตักบาตรข้าวสาร อาหารแห้งร่วมกับชุมชนชาวไทยพุทธในพื้นที่ และแยกย้ายกันทำงาน ต่อมาตอนเย็น..กำหนดการจุดเทียนถวายพระพร จะเร็วกว่าส่วนกลางเพราะเราอยู่ในพื้นที่เสี่ยง พื้นที่อันตราย พื้นที่เกิดเหตุการก่อความไม่สงบ 

ดังนั้นพี่น้องชาวฟาร์มตัวอย่างและประชาชนในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ทหารกองร้อยต่างๆที่มาประจำการจึงมาพร้อมเพรียงกันช่วงเวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น.และพิธีเริ่ม ๑๗.๓๐ น.
ระหว่างรอ


จัดแถว


       แม้ว่าเราเป็นส่วนเล็กๆ ของพสกนิกรไทยของพ่อหลวงแต่เราก็รักพ่อเสียงดังไม่แพ้ใคร..

พร้อมไหม?
พิธีกำลังจะเริ่มในอีกไม่กี่นาที

พ.อ.พิเศษ ณรงค์กร พุทธสงกรานต์ ประธานในพิธี กล่าวคำถวายพระพร

และเสียงเพลงสดุดีมหาราชาดังกึกก้องทั่วทั้งบริเวณและก้องกังวานอยู่ในหัวใจทุกดวงของลูกๆทุกคน...


เริ่มจุดเทียนชัยถวายพระพร



เสียงถวายพระพร..
ทรงพระเจริญ
ทรงพระเจริญ
ทรงพระเจริญ

ประสานก้องกังวาน

ส่วนกลาง ส่วนเหนือ อีสานหรือส่วนใต้ ชายขอบ ชายแดน คนไทยก็รักในหลวง

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน 
ด้วยเกล้า ด้วยกระหม่อม ขอเดชะ



















วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สุดเขตใจ






  1. ฟ้ายามพลบค่ำ
    แสงทองทาบทอที่ขอบฟ้าไกล
    ขุนเขาที่ขวางกั้นระหว่าง..กัน
    อาจรู้สึกห่าง..ไกลจากกัน..สุดเขต สุดใจ
         

                                                      แต่ทว่า.............



    ความรัก…ยังมั่นคงดั่งภูผา
    และเย็นเฉียบ เรียบเรื่อยดุจธารน้ำหนาว.



วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

คือความพิเศษ




คัดลอกมาจากที่ใหนจำไม่ได้ จึงขออนุญาตตั้งชื่อเอง
 และขออนุญาตมาเผยแพร่อีกสักครั้ง เพราะชอบหลายบทหลาย และน่าจะตรงใจใครหลายคนด้วย.



"ชีวิตคนเรามีอะไรมากมายที่ผ่านเข้ามาให้ซึมซับรับรู้
ในชีวิตคนเรามีผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาให้รู้จักมักคุ้น
แต่ในผู้คนมากมายเหล่านั้น
อย่างน้อยคงต้องมีใครบางคนที่ทำให้เรารู้สึกไม่ธรรมดา ที่จะนึกถึง
เรียกว่าเป็นความพิเศษ

ที่เรายกเว้นเอาไว้จากความปกติทั่วไปของจิตใจ
ก็ในเมื่อคำว่า พิเศษ หมายถึงความจำเพาะ ความแปลกแยก

ความดีงาม ความอบอุ่นในหัวใจ
กระนั้นทำไมเราไม่ปฏิบัติต่อเขาให้ตรงกับใจคิด
ให้ความรู้สึกที่ดีดี จากจิตใจที่ดีดี
ให้ความอาทรถึง จากจิตใจที่นึกถึง
ให้ความห่วง จากจิตใจที่เป็นห่วง
ให้ไปเถอะ ให้ไปอย่างดีดี แต่มีสติ
ให้ไปถอะ ให้ไปอย่างอบอุ่น แต่ไม่คุกรุ่น
ให้ไปเลยให้ไปเท่าไรก็ได้

แต่เมื่อให้ไปแล้วต้องไม่ร้อนรุ่มกลัดกลุ้ม
และหากเมื่อใดจิตใจอาจระส่ำระสาย สะดุดกับอะไรขึ้นมาบ้าง
ก็จงหยุดพักตรึกตรอง อย่าปล่อยให้พายุอารมณ์โถมพัด
สิ่งดีดี จนกระจัดกระจาย

เพราะการให้ความหมายมิใช่ การตั้งความหวัง

คนสองคนให้ความหมายซึ่งกันและกัน
แต่คนสองคน จะไม่ตั้งความหวังในกันและกัน
เพราะการตั้งความหวังมักนำพาซึ่ง การเรียกร้อง
ความอยากเป็นเจ้าเข้าเจ้าของโดยไม่รู้ตัว

มันร้อนนัก หนาวนัก และไม่เป็นสุข
เราต้องไม่ลืมปรับอุณหภูมิจิตใจเอาไว้ที่องศาอุ่นๆ
หากเริ่มรู้สึกตัวว่า ความร้อนเริ่มทวีขึ้น เราต้องค่อยๆ
เดินออกมาสูดอากาศเย็น

หากตรงกันข้ามเราต้องหลบเร้นจากความหนาวมาหาไอแดดเช่นกัน
และอย่าลืมว่า ความพิเศษ ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องพิเศษมากหรือพิเศษสุดสุด
หรือพิเศษอย่างยิ่งในคนเดียว
ทั้งเราและเขาอาจจะมีคนพิเศษในวิถีชีวิตได้หลายลักษณะ
พิเศษในเรื่องนั้น พิเศษในเรื่องนี้




ในเมื่อหัวใจเป็นของเรา
เราก็ย่อมเลือกให้ความพิเศษกับใครก็ได้
ที่เราไม่ต้องแลกกับความทุกข์อย่างพิเศษกลับมา
จงให้ ความพิเศษ เป็นชีวิตชีวา
เป็นแววตาที่แจ่มใส
เป็นความห่วงใยที่เมื่อนึกถึงทีไรก็ยิ้มได้
ไม่วิ่งหนีแต่ไม่วิ่งตาม
ไม่หักห้าม แต่ไม่กระโจนใส่
ไม่เป็นน้ำตาลที่หวานอ่อนไหว
แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจและเอื้ออาทร

จงเป็นความแจ่มใสในอารมณ์ของตัวเอง เป็นความชุ่มชื้น สดใสเช่นสายน้ำ
เป็นสีสันงดงามเช่นมวลผกา เป็นสีเขียวของใบไม้ ที่เย็นตาและที่ใจ
และที่ตรงนี้ จะอีกนานเท่าใดไม่ว่า คนพิเศษ คนนั้น
จะอยู่ใกล้หรือต้องจากกันใกล
ความพิเศษ นั้นก็จะคงอยู่อย่างมีคุณค่า ณ ที่เดิม
ที่ซึ่งหัวใจข้างซ้ายตรงกัน"
ขอบคุณเจ้าของบทกวีร้อยแก้วนี้อีกครั้ง

(เคยบันทึกไว้ที่ www.warintira.multiply.com เมื่อ Oct 14, '08)

อยากร้องให้แล้วมีความสุข



ทบทวนอดีต
ยอมรับว่าอดีตคืออดีต โดยไม่ปฏิเสธหรือเมินเฉย
รำลึกถึงอดีต แต่อย่าจมอยู่กับมัน
เรียนรู้จากอดีต แต่อย่าลงโทษตัวเอง
หรือมัวแต่เสียใจกับสิ่งที่คุณเคยทำ อย่ายึดติดอยู่ในอดีต
วิธีเสียใจอย่างมีความสุข
การเสียใจแล้วจมอยู่กับความซึมเศร้าต่างจากการเสียใจแล้วหลุดพ้นอย่างไร?
ปมความรู้สึกผิดที่ค้างคาอยู่ในใจจะทำให้กระบวนการเสียใจ
ดำเนินไปอย่างไม่ดีเท่าทีควร
เช่น ถ้าคุณโกรธมากแต่ไม่ยอมรับ หรือมีเรื่องอึดอัดใจ แต่ไม่ได้สะสาง
คุณจะผูกติดอยู่กับความรู้สึกนั้น จนไม่สามารถปลดปล่อยความเศร้าโศก
ในใจออกมาจนหมด ดังนั้นคุณจึงไม่สามารถเสียใจด้วยความรู้สึก
สูญเสียและความรักได้อย่างแท้จริง
คุณควรร้องให้คนเดียวหรือไม่ ควรร้องให้ต่อหน้าคนอื่นหรือไม่?
คนเรามักอายเมื่อร้องให้ให้คนอื่นเห็น เพราะกลัวใครๆจะพูดว่า
โธ่!ไม่น่าเลย โตแล้วแท้ๆ ไม่ควรเลย บางทีเราอาจไม่อยาก
ให้คนอื่นเห็นเราร้องให้ เพราะกลัวว่าพวกเขาจะพลอยเศร้าไปด้วย
หรือไม่ก็อาจกลัวว่าคนอื่นจะคิดว่าเราอ่อนแอและไม่ดีพอ
จริงอยู่เมื่อเห็นคนอื่นร้องให้ เรามักวางตัวไม่ถูกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ถ้าคนๆนั้นเป็นคนที่เรารัก ขอแนะนำให้คนในครอบครัวและเพื่อนๆ บอกคน
ที่กำลังร้องให้ ให้เศร้าโศกเสียใจให้เต็มที่ วิธีที่ดีที่สุดคือ
การเห็นใจ เข้าใจ และให้กำลังใจโดยพูดว่า
ไม่เป็นไรฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเอง หรือฉันจะช่วยทำทุกอย่าง
ที่คุณต้องการ จนกว่าคุณจะหยุดร้องให้นะ แต่ถ้าคุณอยากร้องให้
ต่อไปอีก ก็ไม่เป็นไรนะ
เมื่อคุณเสียใจ คุณไม่ควรซ่อนเร้นความรู้สึกนั้นไว้ไม่ให้คนในครอบครัว
เพื่อนๆหรือคนที่มาเยี่ยมเห็น คุณควรคิดว่า  ฉันเสียใจ ฉันยอมรับว่า
ฉันเสียใจและอยากให้คุณยอมรับด้วย  อย่าหนีความจริงเลย
ถ้าอยากร้องให้กับฉันด้วยก็ได้  ถ้าไม่อยากก็สุดแล้วแต่คุณ
แต่อย่ารู้สึกไม่ดีนะ เพราะคุณควรรู้ว่า การร้องให้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับฉัน
ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเมื่อได้ร้องให้ คุณน่าจะสบายใจเมื่อเห็นฉันร้องให้
หลังร้องให้คุณจะรู้สึกปลอดโปร่งเพราะได้ปลดปล่อยความเศร้าออกมา
 แต่ไม่ได้หมายความว่า ความเศร้าของคุณจะหมดไป และไม่ได้หมายความว่า
การร้องให้จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เพียงแต่เมื่อคุณร้องให้คุณจะสงบนิ่ง
และรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเท่านั้นเอง
จากหนังสือ..ปรัชญาชีวิตจากครูมอร์รี่
เขียนโดย..MORRIE  SCHWARTZ
แปลโดย..จิรันธรา ศรีอุทัย
(ผู้เขียนเคยบันทึกเผยแพร่ใน www.warintira.multiply.com เมื่อ Apr 20,2009 บัดนี้เว็บดังกล่าว
กำลังจะปิดตัวจึงย้ายข้อมูลเก่าๆ มาเก็บไว้)

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ใต้ร่มเงาของแม่..และความพอเพียงของพ่อ


วันเวลาล่วงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อครั้งฝังตัวเองอยู่ในสังคมเมืองหลวง..เราก็ว่าเวลาผ่านไปอย่างเร็ว อย่างเร่งร้อนและเร่งรีบ
บางครั้งรู้สึกเหนื่อยและล้า แต่ก็ยังพอใจอยู่อย่างนั้น แม้จะสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ยิ้มบ้าง ร้องให้บ้าง 

วันนี้กลับคืนถิ่นบ้านเกิด
เวลาก็ยังผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นเดิม
แต่ไม่ต้องเร่งเร้า รีบร้อนแข่งกับเวลา 

แม้ฝนจะตก ฟ้าร้อง แสงแดดแผดเผาโดยไม่รู้จักฤดูกาล 
หัวใจยังไม่ร้องให้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะยังคงกึกก้องอยู่ในหัวใจของตัวเอง
ธรรมชาติโอบรัดเราไว้ตลอดเวลา



ภายใต้ร่มเงา..แม่ของแผ่นดิน ลูกรู้สึกอบอุ่น ร่มเย็นและมีความสุขเสมอแม้ภยันตรายจะซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลตัว แม้ชีวิตต้องเผชิญหน้ากับอันตราย


แม้ลูกจะต้องพบกับอุปสรรคมากมี แม้ต้องฝ่าฟันปัญหาหลากหลาย
ลูกจะขอเดินตามรอยเท้าของพ่อหลวงทุกๆย่างก้าวอย่างพอเพียงและเพียงพอและตั้งใจทำงานตามแรงศรัทธาด้วยความมุ่งมั่นเพื่อตอบแทนคุณของแผ่นดินและด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อพระเจ้าแผ่นดินสืบต่อไป


วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เมื่อบทบาทของชีวิตเปลียนไป

 
ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน
เที่ยงหนอ คือ ไม่เที่ยงหนอ
 
หลังจากผ่าน..ความไม่เที่ยง
ของชีวิตหนึ่ง ไปแล้ว
บางคนยังคงดำเนินชีวิตต่อไปโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก
แต่สำหรับผู้เขียน..ทุกอย่างพลิกผันอย่างไม่เคยคิดหวัง หรือวางแผนรอไว้เลยแม้แต่นิดเดียว
 
ความคิด คาดหวังที่เคยวางแผนอย่างมีความหวังต้องสะดุดและจบลงภายในเวลาอันรวดเร็ว
 
ถอยกลับหลังอย่างไม่ตั้งใจ และถอยทัพความหวังอย่างเสียดาย
แต่ยังโชคดีมีกลิ่นไออุ่นโอบรัดไว้อย่างอบอุ่นและมั่นคงจากญาติ พี่น้อง
 
ละจากสังคมเมืองหลวง จากความวุ่นวาย และความศิวิไลซ์
หวนกลับสู่ชีวิตชาวชนบท ยืนอยู่บนความเรียบง่ายของสังคม ยืนอยู่ท่ามกลางความผูกพัน
และสายใยความห่วงใยของผู้คนรอบข้าง..ซึ่งแม้ในแต่ละวันต้องดำเนินชีวิตตามลำพัง
 
การฝังตัวเองอยู่อย่างเงียบ ๆ เรียบๆในเมืองหลวง แม้อยู่ตามลำพังแต่ดูเหมือนทุกอย่างช่างง่ายดาย
ไปหมดทุกอย่าง เงินซื้อทุกสิ่งอย่างได้อย่างใจ
 
 
 
เมื่อพาตัวเองมาเก็บตัวอยู่เงียบๆ ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีความแตกต่างด้านวัฒนธรรมและศาสนาอย่างชัดเจน
 
จึงถูกจำกัดอิสระทางความคิด การพูดและการกระทำ
 
เงินไม่สามารถซื้อ..ทุกอย่าง
สายสัมพันธ์ระหว่าง..ผู้คน เป็นเรื่องใหญ่ของการอยู่ร่วมกับความหลากหลายของผู้คนในชุมชน
การปรับตัวและหัวใจจึง..สำคัญพอดู
 
อิทธิพล..การยึดติด..เพราะคิดว่า กูมี กูเป็น กูก็ใหญ่ ฝังแน่นอยู่ภายใต้จิตสำนึกของผู้คนในชุมชน
เป็นปัญหาที่ต้องค่อยๆแก้ไขกันไป บางครั้ังต้องพูดจากภาษาดอกไม้
และเคลือบด้วยเหตุผลกันขนานใหญ่
 
อาจเป็นเรื่องไม่ยากหากเมื่องานและชุมชนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้นปัญหาเล็กใหญ่จึงเกิดขึ้นเสมอ ญาติพี่น้องของแต่ละคนจึงมักพยายามเข้าไปมีบทบาทแย่งกันใหญ่แม้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ตาม
 
ชีวิตใหม่และบทเรียนใหม่ยังต้องเรียนรู้ สัมผัส แก้ไขสถานการณ์ด้วยความอดทน มีสติ ปัญญา เหตุผลและต้องหนักแน่นกับทุกสถานการณ์กันต่อไป
 
 
ความสุขที่สัมผัสได้  ความพอเพียง และเพียงพอภายใต้ร่มเงาพระบารมีและพระมหากรุณาธิคุณของแม่ของแผ่นดินเป็นพลังศรัทธาให้ผู้เขียนหยัดยืนเพื่อทดแทนคุณแผ่นดิน
และรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดินเต็มกำลังสืบต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ดอกรักปักตรึงใจ..


เมื่อเก็บเกี่ยวดอกรักมาปักใจ

ท้องฟ้าอึมครึม แสงแดดหรุบหาย
กำลังเตรียมตัวออกไปทำธุระ
นอกบ้านสักประเดี๋ยวใจ
อากาศอบอ้าว ฝนบนฟ้ากำลังเดินทาง




ฉันจึงนั่งลงตรงนี้อีกอึดใจ
เฝ้าฝน วาดฟ้า ฝันถึงตะวัน
เพียงไม่กี่อึดใจ..เสียงสายฝนสาดกระซิก
พร้อมสายลมระริกไหว



เมื่อฟ้าและฝนไม่เป็นใจ ไม่เป็นไร
เวลาที่มี ขอใจ..จงวอนเดินตามฝันที่ค้างฟ้า


วันนี้..จะเริ่มต้นก้าวเดินใหม่อีกครั้งคราว
หลังจากหยุดพักกลางทาง..
พักค้างอย่างอ่อนล้าและโรยแรง
และยังสงบนิ่ง หลังพายุชีวิตซัดซวนเซ




ล้มแล้วลุกขึ้นยืนใหม่
ไม่รอใครพยุง
ไม่ร้องขอเทวดาบนชั้นฟ้า

เติมกำลังใจ ให้ล้นปรี่
กำหนดนับลมหายใจด้วยสติ
ไม่วอกแวกแวะเวียน
เก็บเกี่ยวดอกรักมาปักใจ




จะลืม..รอยแผลยามหนามดอกรักปักตรึงให้ชอกช้ำ

จุดหมายปลายฝัน ยังยืนหยัดรออยู่ อย่างมั่นคง.


วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ใบไม้ยามใกล้ปลิดปลิว



บรรยากาศยามเช้าที่นี่ ต่างจากยามเช้าที่เมืองกรุง เมื่อฟ้าสางเราก็เริ่มได้ยินเสียงนกกรงหัวจุกขับขาน แว่วมาจากบ้านพักเจ้าหน้าที่ฝั่งใกล้เคียง คนใต้นิยมเลี้ยงนกกรงหัวจุกและนกเขากันเป็นจำนวนมากทั้งเพื่อใช้ในการแข่งขันซึ่งเป็นกีฬาชนิดหนึ่ง บ้างก็เป็นธุรกิจซื้อขายกันในราคาสูงลิบลิ่วหากมีเสียงและลักษณะดี บ้างก็เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเล่นแก้เหงา

เช้านี้ฟ้ายังอึมครึมหลังฝนตกลงมาเมื่อคืน เรายังคงอยู่โรงพยาบาล มาทำหน้าที่ของลูกดูแลบุพการีเมื่อต้องเจ็บป่วยโดยไม่เคยเกี่ยงว่าใครเป็นลูกพ่อบ้าง บรรยากาศเงียบปลอดจากความวุ่นวาย หมอยังต้องให้เฝ้าดูอาการต่อไป อาการปอดอักเสบดีขึ้นแล้วแต่น้ำท่วมปอดยังต้องคอยเฝ้าระวัง หมอสั่งฉีดยาขับปัสสาวะเพราะน้ำท่วมปอด เฝ้ารอดูอาการวันต่อวัน แต่วันนี้พ่อมีอาการเหนื่อยน้อยลง แม้ยังต้องพ่นยาอยู่แต่ถอดสายออกซิเจนแล้วพ่อก็ยังอยู่ได้

พ่อเคยสูบบุหรี่และเลิกบุหรี่เมื่อประมาณ ๒๐ กว่าปีก่อน เพราะพ่อมีอาการไอเป็นเลือดหมอสั่งเลิกบุหรี่ มาถึงวันนี้พ่ออายุ ๘๓ ปี แต่ยังมั่นใจว่าตัวเองยังเป็นคนเก่ง มีความสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเองอีกมากมาย อย่างเช่น ทำเปรี้ยวขับรถมอเตอร์ไซด์เข้าในเมืองได้บ่อยๆ ลูกๆหลานอย่าได้บ่นหรือห้ามพ่อทำอะไรหรือจะทำอะไรให้ เพราะจะไม่เป็นที่ถูกใจ ทุกอย่างต้องไปทำด้วยตัวเอง จึงมักจะประสบอุบัติเหตุขับรถไปชนเขาอยู่เรื่อยๆ แต่พ่อไม่เคยหยุด รักษาตัวหายดีเมื่อไหร่พ่อจะรีบซ่อมรถและหาเรื่องออกจากบ้านได้อีก ไม่มีใครจัดการยกรถกลับจากโรงพักเพื่อไปซ่อมพ่อก็จัดการด้วยตัวเอง เราจะบ่นมาก พูดมาก ห้ามเยอะ ก็เท่านั้นเพราะพ่อไม่ฟัง ไม่เชื่อและไม่หยุด สุดท้ายเราก็เครียด หงุดหงิดเสียเอง ญาติๆพี่ๆน้องๆจึงบอกว่าปล่อยไปเลยแล้วกัน เป็นอะไรค่อยรักษากันไป ปกติพ่อเจ็บเข้าโรงพยาบาลเพราะอุบัติเหตุ แต่คราวนี้ พ่อต้องนอนโรงพยาบาลหลายวันเพราะอาการป่วยหลายอย่าง พ่อมีอาการหอบทั้งที่ไม่เคยเป็น และขาบวม  หมอบอกว่าพ่อติดเชื้อในกระแสเลือด และหัวใจรั่ว หัวใจโต หลังจากนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลยังพบอาการปอดติดเชื้อ น้ำท่วมปอด และโรคเก๊าท์  แต่เพราะพ่อเคยเป็นคนแข็งแรง ไม่เคยมีโรคภัยมาก่อน วันนี้พ่อก็ยังดูดีกว่าชายชราวัย ๘๓ โดยทั่วไป ยังสามารถลุกเดิน ยังช่วยเหลือตัวเองได้ แม้ภูมิต้านทานโรคจะทำงานน้อยลงก็ตาม  และพ่อคงได้เรียนรู้ด้วยตัวเองแล้วว่าออกจากโรงพยาบาลคราวนี้ พ่อจะลุกขึ้นจ๊อกกิ้งรอบบ้านไม่ได้ พ่อจะขนดิน ขนทรายเองไม่ได้ พ่อจะรดน้ำผักโดยไม่ใช้สายยางไม่ได้แล้ว ทุกอย่างที่พ่อเคยทำพ่อจะไม่สามารถทำอะไรได้อีก พ่อจะดื้อแพ่งกับลูกหลานไม่ได้อีกแล้ว

โรงพยาบาลหนองจิก จังหวัดปัตตานี เป็นโรงพยาบาลเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองเพียงสิบกว่ากิโลเมตร โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักถูกส่งเข้าโรงพยาบาลจังหวัด ดังนั้นที่นั่นจึงมีคนป่วยร้อยแปดพันเก้า  น้องสาวพาพ่อมาส่งโรงพยาบาลนี้เพราะพ่อมีอาการหอบรุนแรงและใกล้มือหมอมากกว่า  เมื่อทราบว่าพ่อเป็นอะไรยังบอกน้องชายว่าหากไม่สู้ดีย้ายพ่อเข้าในเมืองดีกว่า หลังจากน้องชายนอนเฝ้าพ่ออยู่ในห้องรวมหนึ่งคืน หมอบอกว่าต้องรอผลเอ๊กซเรย์หัวใจ เอ๊กซเรย์ปอด และเก็บเสมหะอีกสามวัน น้องชายจึงจองห้องพิเศษไว้ เมื่อฉันเดินทางมาถึงจึงไม่ต้องจัดการอะไรอีก ผลัดเปลี่ยนให้พี่สาวได้กลับไปไปดุแลครอบครัว ต่อมาหน้าที่ในการดูแลจึงเป็นของฉันอีกตามเคย ซึ่งตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาลมากกว่า ๓ วันและยังต้องอยุ่ต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาชัดเจน

แต่โรงพยาบาลแห่งนี้ถูกจัดภูมิทัศน์ให้สบายร่มเย็น จำนวนผู้ป่วยอยู่ในระดับที่กำลังพอดี ไม่โกลาหล ไม่วุ่นวาย อากาศยามเช้าเย็นสบาย เงียบ สงบ ฉันคิดได้ว่าถ้าพ่ออาการไม่มากถึงกับต้องพึ่งพาเทคนิคและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยมากๆ พักรักษาตัวอยู่ที่นี่ก็ดี และน่าชื่นชมหมอที่นี่น่ารักทุกท่าน ดูแลผู้ป่วยด้วยความตั้งใจ ใส่ใจคนไข้ได้อย่างทั่วถึง แม้พยาบาลบางคนอาจไม่มีใจหรือไม่ใช่มืออาชีพก็ยังพอรับได้ อีกประการหนึ่งมีเพื่อนและรุ่นพี่ที่สนิทกันมากเป็นพยาบาลอยู่ที่นี่ได้ช่วยอำนวยความสะดวกและดูแลพ่อเป็นอย่างดีอีกด้วย ทั้งยังเป็นเพื่อนคุยผ่อนคลายความตึงเครียดและความเงียบเหงา (เงียบและเหงาเพราะไม่ได้ออนอินเตอร์เนตตลอดทั้งวัน เพื่อนว่าอย่างนั้น)

สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราพ่อ ลูกและใครต่อใครคุยกันไม่รู้เรื่องคือ พ่อหูตึง พูดดังๆก็ว่าตะคอก ว่าเขาใช้อำนาจกับตัวเอง ว่าเขาพูดไม่ดีด้วย ว่าลูกว่าหลานพูดจาไม่เข้าหู และโกรธถือทิฐิเอากับลูกกับหลานทั้งที่ไม่มีใครแบกความรู้สึกของพ่อมาใส่บ่าไว้สักคน  แม้วัยชราของพ่อจะปิดตัวเองจากสังคม เก็บตัวอยู่ตามลำพัง แต่เมื่อพ่อยังหนุ่มพ่อเป็นที่รักและเคารพของญาติพี่น้อง ของลูกหลาน ดังนั้นจึงเป็นความโชคดีที่พ่อที่ยังมีลูกหลานและพี่น้องอยู่เคียงข้างอย่างห่วงใยตลอดมา

การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ..เป็นเรื่องจริง แต่ไม่ลืมกฎของธรรมชาติ
แม้เราสละชีวิตเพื่อให้ได้ทรัพย์ และต้องสละทรัพย์เพื่อรักษาชีวิตไว้ได้ก็เพียงชั่วเวลาเดียวเท่านั้น
ดังนั้น..ทุกชีวิตเกิดมา..เพื่อดับไป..มาจากธรรมชาติ และย่อมกลับคืนสู่ธรรมชาติ ดุจใบไม้ปลิดขั้วร่วงสู่ผืนดิน จึงต้องหมั่นสร้างคุณงามความดีกองสุมไว้ในทุกๆยามที่ยังมีลมหายใจ




วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ปลายทางสุดท้ายคือบ้านเรา


อีกไม่กี่เพลาข้างหน้า การเดินทางก็จะเริ่มต้นอีกแล้ว
แม้เพียงระยะทางสั้นๆ ไม่กี่ร้อยกิโลเมตร  เพียงแค่เวลาเกือบ ๒๐ ชั่วโมงบนขบวนรถไฟสายใต้
บรรยากาศเดิมๆที่คุ้นเคย แต่เพื่อนผู้ร่วมเดินทางไม่เคยซ้ำหน้า

เสียงหวูดรถไฟ และเครื่องจักรที่บดขยี้ลงบนรางรถไฟคล้ายกับจะทำให้แหลกสลายไปต่อหน้าต่อตา
แต่ท้ายที่สุด ทั้งรางเหล็กและรถเหล็กต่างหลงรักกัน ขาดกันและกันไม่ได้เลย เพียงแต่เป็นความรักที่รุนแรงสักหน่อย..ซึ่งถึงอย่างไรเพราะความรักอย่างรุนแรงนี้เองที่ส่งผู้เดินทางทั้งใกล้และไกลถึงจุดหมายเสมอ แม้บางครั้งพบอุปสรรคสับรางรักกันไม่ทัน เจ็บปวดตามๆกันทั้งคนสับราง ทั้งรถไฟ รางรถไฟและผูร่วมทางแห่งความรัก

แม้การเดินทางในแต่ละคราวไร้ความตื่นเต้นเพราะ..คือการเดินทางบนเส้นทางเดิมๆ
แม้จะผ่านเรื่องราวระหว่างทางที่ไม่แตกต่างกับทุกๆคราว
ภายในตู้รถไฟที่ทอดยาวจนสุดสายตาแลเห็น ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างให้เราได้เรียนรู้ ดูและจดจำ
บางครั้งประทับใจไม่รู้ลืม แต่บางทีเป็นเพียงคนผ่านตา ที่ต้องบอกตัวเองว่าอย่าไปรู้และจำอะไรใครเขาเลย
ส่วนใหญ่ผู้ร่วมทางอีกหนึ่งชีวิตอย่างฉัน มักปล่อยเวลาให้หมดไปกับทิวทัศน์อันเป็นธรรมที่งดงามข้างทางและปล่อยใจล่องลอยไปถึงใครสักคนหนึ่ง ซึ่งเขาอาจหลงลืมชีวิตช่วงหนึ่งระหว่างกันและกันไปแล้ว

กว่าจะดึงทั้งชีวิตและความคิดคำนึง ที่ยังหลงวนทบทวนเรื่องราวในอดีตคืนกลับมาได้..
ก็จวบจนสุดเส้นทางอันเป็นจุดหมาย..

ระหว่างการเดินทางกลับบ้านปักษ์ใต้บ้านเรา..จึงมักเป็นช่วงเวลาที่อยู่กับตัวเองได้มากที่สุดของวัน

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทุ่งมะขามหย่อง..จากโบราณกาลถึงปัจจุบันกาล


ณ เวลานี้ ถ้ามีใครเอ่ยถึง "  ทุ่งมะขามหย่อง"   คงไม่มีใครไม่รู้จัก ด้วยว่า

วันที่ 25 พฤษภาคม 2555 เวลา 16.45 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงจากที่ประทับชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงสักการะพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย ทุ่งมะขามหย่อง ตำบลบ้านใหม่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นการส่วนพระองค์ ท่ามกลางเหล่าพสกนิกรเฝ้ารอรรับเสด็จและร่วมร้องถวายพระพรอย่างกึก้องตลอดเส้นทาง ผู้เขียนไม่มีโอกาสเดินทางไปเฝ้ารอรับเสด็จเพราะมีภารกิจ แต่เฝ้าติดตามข่าวสารเป็นระยะด้วยความปลื้มปิติผ่านอินเตอร์เนตเป็นระยะ และประชากรคนไทยทั่วทั้งประเทศคงได้ติดตามข่าวสารหน้าจอโทรทัศน์ด้วยความปลื้มปิติเช่นเดียวกัน

"ทุ่งมะขามหย่อง"   พื้นที่ประวัติศาสตร์ที่ผูกพันกับชาวไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นสมรภูมิรบสำคัญในสมัยอยุธยา ที่ถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ ถึงการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ของวีรสตรีไทย " สมเด็จพระศรีสุริโยทัย"   ที่ทรงสละชีพเพื่อปกป้องแผ่นดินไทยในการรบกับพม่าเมื่อปี พ.ศ.2091 ตั้งอยู่ในตำบลภูเขาทอง อำเภอเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กินพื้นที่ประมาณ 250 ไร่ มีพระราชานุสาวรีย์ช้างทรงของสมเด็จพระสุริโยทัย และนักรบจาตุรงคบาท ตั้งอยู่บนเกาะกลางน้ำ ซึ่งอนุสรณ์สถานแห่งนี้มีโครงการถูกจัดสร้างขึ้น เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติให้กับสมเด็จพระศรีสุริโยทัย และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวาระมหามงคลพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ ในปี พ.ศ.2535 ด้วย สถานที่แห่งนี้จึงมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า  " พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระศรีสุริโยทัย"   โดยอนุสถานแห่งนี้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัย พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยในวันที่ 21 มิถุนายน 2531 คณะรัฐมนตรีในสมัยนั้นได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการจัดสร้าง โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบ ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล จนกระทั่งสมัย พลเอก อิสระพงศ์ หนุนภักดี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้กรมโยธาธิการ (ชื่อในขณะนั้น) ได้ดำเนินการออกแบบวางผังก่อสร้างเพื่อเสนอต่อ นาย อานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรีเพื่อขอรับความเห็นชอบ และได้ลงนามเห็นชอบ และแต่งตั้งคณะกรรมการจัดสร้างพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย เมื่อ วันที่ 4 กรกฎาคม 2534 ส่วนองค์พระราชานุสาวรีย์และประติมากรรมภายในพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัยนั้น ออกแบบและปั้นรูปโดย คุณไข่มุกด์ ชูโต



ทุ่งมะขามหย่อง  อีกด้านหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ความสำคัญเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ คือเชื่อกันว่าพื้นที่ด้านตะวันตกของอยุธยานี้ ในสมัยก่อนเป็นพื้นที่ที่ข้าศึกเมื่อยกทัพมามักจะมีการตั้งค่ายในบริเวณที่ราบบริเวณนี้ จนฤดูน้ำหลากจึงจะล่าถอยออกไป รวมทั้งการทำยุทธหัตถีในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วย ทำให้ทางกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการขยายพื้นที่ส่วนพระราชานุสาวรีย์ออกไป และได้จัดสร้างพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชในบริเวณนี้เช่นกัน

ทุ่งมะขามหย่อง  เป็นพื้นที่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพื้นที่แก้มลิง แก้ไขปัญหาน้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก และในฤดูแล้งจะนำน้ำที่กักเก็บไว้ให้เกษตรกรได้ใช้ในการเพาะปลูก เพื่อพสกนิกรชาว จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยสถานที่สำคัญทั้ง 2 แห่ง ยังบ่งบอกทางประวัติศาสตร์ของ “ทุ่งมะขามหย่อง” และ “ทุ่งภูเขาทอง” ที่ สมเด็จพระศรีสุริโยทัย และ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เคยสู้รบกับพม่า นอกจากนี้ผืนแผ่นดินทั้ง 2 แห่ง จึงได้ตั้งชื่อผืนแผ่นดินทั้ง 2 แห่งนี้ว่า “ผืนแผ่นดินแห่งพระมหากรุณาธิคุณ”

พสกนิกรเฝ้ารอรับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  และส่งเสียงถวายพระพรอย่างกึกก้อง เมื่อ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕

สำหรับทุ่งมะขามหย่อง มีเนื้อที่ทั้งหมด 250 ไร่ ใช้เป็นอ่างเก็บน้ำ (แก้มลิง) จำนวน 180 ไร่ มีความจุน้ำได้ถึง 2,100,000 ลูกบาศก์เมตร เพื่อใช้ในการป้องกันอุทกภัยที่จะเกิดในอนาคต และยังสามารถนำเอาน้ำที่กักเก็บไว้ ไปใช้เพื่อเกษตรกรรมได้ในฤดูแล้งที่ต้อง การใช้น้ำทุ่งมะขามหย่องยังเป็นสวนสาธารณะที่ประชาชน สามารถมาเที่ยวชมความสวยงามและ เป็นที่พักผ่อนได้ คุณประโยชน์มีมหาศาล

ผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้ ตั้งอยู่และแผ่ความเจริญรุ่งเรืองมาจวบจนทุกวันนี้ก็ด้วยพระปรีชาสามารถ และพระอัจฉริยภาพแห่งพระมหากษัติรย์โดยแท้ทีเดียว


ขอบคุณข้อมูล จากวิกิพีเดีย  http://th.wikipedia.org/wiki/พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย
และ ครอบครัวข่าว
http://www.krobkruakao.com/ข่าว/56752/ประวัติพระราชานุสาวรีย์สุริโยทัย-ทุ่งมะขามหย่อง.html
http://hilight.kapook.com/view/71156

ขอบคุณภาพจาก 
http://news.sanook.com/gallery/gallery/1119744/282129/ และวิกิพีเดีย



วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เพื่อนแท้ในยามรุ่งอรุณ


เช้ามืด ฟ้าไม่ทันสาง ลืมตาตื่นเปิดคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งแรก
เป็นกิจวัตรซึ่งทำมานานหลายปีมากแล้ว  ใช้อินเตอร์เนตเป็นเพื่อน
ใช้สังคมออนไลน์เพื่อต่อยอดความเป็นไปของสังคม รับรู้ข่าวสารมากมายได้ตลอดทั้งวัน

เช้าแล้ว แสงอรุณเริ่มทอแสง เสียงนกและกาเหว่า เริ่มทักทายกันด้วยจิตแจ่มใส
บางวันฉันรู้สึกโปร่ง รู้สึกเสมือนได้ยินนกกาทักทายกันอย่างมีความสุข
และน่าแปลก บางวันฉันแทบไม่ได้ยินเสียงพวกมันเลย ทั้งที่หากตั้งจิตตั้งใจ เงี่ยหูฟังเสียสักนิด
พวกมันยังคงทำหน้าที่ด้วยจิตใจที่เบิกบานเช่นนั้นทุกๆวัน
เพื่อนแท้ผู้ไม่เคยทอดทิ้งกันในทุกๆยาม

เพื่อนจากสังคมออนไลน์ได้ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรมากมาย
บางคน พบแล้วจากในเวลาอันรวดเร็ว 
บางคนได้แต่เจอะเจอ ทักทาย พบกันบนโลกออนไลน์เท่านั้น แต่สัมพันธ์ภาพยังคงสม่ำเสมอ
บางคนจิตปรุงแต่งให้ไม่ชอบพอ อยากละ อยากทิ้งมิตรภาพที่เคยมี แต่ในทางธรรมสอนให้เราอดทน
รับรู้ รับฟัง หรือรู้เห็นในสิ่งที่เราปรุงแต่ง หรือความดีและไม่ดีเสียบ้าง

บางคนทำให้หลงชื่นชมคิดว่าความดีของเขา และความจริงใจจากเราจะรักษามิตรภาพที่ดีให้ยืนยาว แต่สุดท้าย ความดีหรือความจริงใจก็มิอาจหยุดยั้งความไม่เที่ยงหนอได้จริงๆ


แสงตะวันเริ่มทอแสงจัดจ้า เพื่อนแท้ของฉันโบยบินออกหากิน เสียงเจื้อยแจ้วเริ่มเงียบหายไป
และเสียงรถราขวักไขว่ เสียงวุ่นวายของสังคมเมืองมาแทนที่



เข็มนาฬิกายังคงเดินสม่ำเสมอ ไม่เร่งรีบ ไม่ร้อนรน 
แสงตะวันจัดจ้าในบางเวลา เมฆขาวทะยอยกันออกมาชื่นชมฟ้าสีคราม

แต่จิตของคน..ที่ไม่เคยสงบนิ่งอย่างฉัน..มักจะวิ่งวุ่น วนหาอดีต กลับมาทุกข์ร้อนกับปัจจุบัน และปรู๊ดปร๊าดไปวิตกเรื่องราวในอนาคต

ฉะนี้แล้ว..จะสงบ เย็นชื่น รื่นรมย์และเบิกบานใด้เช่นนกน้อยเพื่อนแท้ของฉันได้อย่างไรเล่า?


ขอบคุณภาพถ่ายนกน้อยจากเพจผาด่างแคมป์
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=342075299194928&set=t.100000403940712&type=3&theater