วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

พระเมตตาของในหลวงกับชาวเชียงตุง

วันนี้นั่งเฝ้าหน้าจอทั้งวัน คลิกหาทฤษฎีแกล้งดินของพระเจ้าอยู่หัว อ่านแล้วอ่านอีกจนย่ำเย็นยังเขียนออกมาไม่ได้


เปิดไฟล์หาภาพถ่ายไปเรื่อยๆ มาสะดุดภาพๆหนึ่ง..ซึ่งเคยถ่ายมาจากเชียงตุง จังหวัดหนึ่งของรัฐฉาน ประเทศพม่า เป็นภาพอดีต เป็นภาพความทรงจำดีๆ เป็นความปลาบปลื้ม เป็นความตื้นตันใจน้ำตาซึม

เกือบสี่ปีมาแล้ว มีโอกาสได้ไปเที่ยวเชียงตุง เป็นช่วงที่พม่ากำลังรบกันเอง ช่วงที่พม่าไล่ยิงพระสงฆ์ที่เขาอ้างว่าแข็งข้อกับรัฐบาล เป็นช่วงที่เราจองทัวร์ไว้แล้วและตั้งใจจะไปให้ได้ เราลุ้นกันเหลือเกินขอให้สถานการณ์สงบโดยเร็ว และติดต่อกับทัวร์ตลอด..ขอให้เขาเช็คกับทางการท่องเที่ยวของพม่า ทริปนั้นลูกทริปยกเลิกกันหมด เหลือแต่ฉันและเพื่อนอีก ๒ คนเรียกว่าดื้อดึงดันจะไปให้ได้ ทีแรกถ้าเหลือแค่นี้ทริปนี้จะถูกยกเลิก โชคดียังมีพี่ๆคู่สามีภรรยาอีก ๒ คน ไปด้วย แต่ต้องเปลี่ยนการเดินทางจากรถตู้เป็นรถทัวร์และไปต่อรถแท๊กซี่ที่ทางบริษัททัวร์เตรียมไว้แล้วที่แม่สาย ไม่มีปัญหาเราสบายใจมากแม้จะเป็นรถทัวร์หรือรถแท๊กซี่ก็ตามเพราะเป็นส่วนตัวเหมือนไปกันเอง คนขับแท๊กซี่เป็นชาวพม่า พูดภาษาอังกฤษได้เล็กน้อย ดังนั้นคุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างต่างคนต่างก็สเนคๆฟิชๆ..

เชียงตุง เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศไทยในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยได้ส่งพลตรี ผิน ชุณหะวัณ ไปเป็นข้าหลวงใหญ่ครองเมืองเชียงตุง จนกระทั่งญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามในสงครามโลกครั้งที่๒จึงต้องคืนเมืองให้กับอังกฤษ

เชียงตุง ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวไทใหญ่ ไทเขิน ชาวเขาเผ่าต่างๆมากมาย และพม่า เราไม่มีปัญหาเรื่องภาษากับชาวไทใหญ่เพราะใช้ภาษาเหมือนกับภาษาคำเมืองของภาคเหนือประเทศเรา 

เชียงตุงเป็นความประทับใจที่อยากเล่าให้ฟังมากมาย แต่วันนี้ขอเขียนเล่าสั้นๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพล อดุลยเดช 

Kyainge Tong New Hotel
อดีตคือราชวังหลวงหรือหอคำหลวงของเมืองเชียงตุง ปัจจุบันพม่าทุบทิ้งและสร้างเป็นโรงแรม
(ขอบคุณภาพจากhttp://www.oknation.net/blog/print.php?id=727820)

เจ้าของรีสอร์ทเป็นชาวไทใหญ่เป็นไกด์นำเที่ยวเชียงตุงในคราวนี้ ได้พาเราไปเยี่ยมชมวังเก่าของเจ้าฟ้ารัตนะก้อนแก้วอินแถลงผู้ครองเมืองเชียงตุง จะว่าพาเยี่ยมชมก็ไม่เชิงเพราะวังเก่าได้เปลี่ยนเป็นโรงแรมKyainge Tong New Hotel และรองรับแขกคนสำคัญๆเท่านั้น และในส่วนที่ใกล้ๆกัน..กำแพงติดกันก็เป็นคุ้มของเจ้าบุญวาทย์วงศา ซึ่งเป็นโอรสองค์หนึ่งในองค์ของเจ้าฟ้ารัตนะก้อนแก้วอินแถลงกับเจ้านางบุญยวง พระชายา๑ใน ๖ พระองค์


เจ้าบุญวาทย์วงศาเคยต้อนรับกองทัพไทยและให้เป็นกองบัญชาการที่นำโดยหลวงเสรีเริงฤทธิ์ในคราวที่กองทัพพายัพไทยบุกเข้าเชียงตุงช่วงสงครามโลกที่๒


ปัจจุบันคุ้มเจ้าบุญวาทย์เหลือเพียงแต่ผู้ดูแลที่อายุมากแล้ว ความจำบางตอนยังใช้ได้แต่บางตอนคุณตาก็ลืมไปแล้ว หูก็ไม่ดี ถามอะไรไปก็ไม่ได้ยิน คุณตารื้ออัลบั้มเก่าๆที่ยังพอเหลือไว้ในคุ้มออกมาให้ดูและเล่าว่าใครเป็นใครบ้าง บุตร ธิดาของเจ้าบุญวาทย์ บ้างก็อยู่ลาว บ้างก็อยู่ประเทศฝรั่งเศส ไม่มีใครอยู่ทีนี่อีก เราเปิดอัลบั้มภาพไปเรื่อยๆ คุยกันไปรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างเพราะคุณตาลืม คุณตาไม่ได้ยิน และเรื่องราวลึกๆถามมากไม่ได้เพราะขณะนั้นพม่าอยู่ในสถานการณไม่ปกติ ประชาชนไม่มีอิสระ คุณตาจะบอกว่าเรื่องนี้พูดไม่ได้ดอก ที่นี่ไม่เหมือนเมืองไทย..อ๋อ..ลืมบอก คุณตาพูดภาษาไทยได้ เราจึงคุยกันรู้เรื่อง 

คุณตาพูดถึงเมืองไทยเหมือนคนไทยคนหนึ่ง เราเปิดอัลบั้มไปเรื่อยจนกระทั่งสะดุดตากับภาพสมเด็จพระเทพฯ ภาพในหลวง และราชวงศ์องค์อื่นๆ เราจึงถามว่าคุณตารู้จักหรือ?เป็นคำถามโง่ๆนะ แค่อยากรู้ว่าคุณตารู้สึกอย่างไร คุณตาพูดถึงในหลวง สมเด็จพระเทพฯและองค์อื่นๆด้วยความรักและบอกว่าคนไทใหญ่ที่นี่รักประเทศไทย รักในหลวง คุณตาเล่าว่าในหลวง มีพระมหากรุณธิคุณต่อชาวไทใหญ่หลายประการ เจ้าแห่งคุ้มนี้ต่างก็เป็นมิตรกับพระราชวงศ์นี้ เคยไปมาหาสู่กันพูดไปคุณตาน้ำคลอเบ้า เราก็ฟังไป น้ำตารื้น ก้อนอะไรวิ่งมาจุกอก พูดไม่ออกต้องถอยออกมา


สังเกตริชแบนเรารักในหลวงข้อมือคุณตา

คุณตาใส่ริชแบนสีเหลืองโชว์เราด้วย บอกว่าใส่อยู่ตลอดเวลา แต่คุณตาได้มาอย่างไรคราวนี้เราเองจำไม่ได้คลับคล้ายว่ามาร่วมงานเฉลิมฉลองอะไรสักอย่างของในหลวงและเคยได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเทพฯซึ่งมีภาพถ่ายเป็นประจักษ์(ตอนนั้นกล้องถ่ายแบตเตอรี่กำลังจะหมดแสงไม่พอ ไม่มีภาพมาฝาก)

เป็นความทรงจำ เป็นความประทับใจและตื้นตันในหัวใจ พ่อหลวงของเราเป็นที่รักของคนทั้งโลก

..นอกจากความอัจฉริยภาพ ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะทรงงานอย่างหนักเพื่อประชาชนชาวไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯแล้ว น้ำพระทัยและพระเมตตาของพระองค์ได้แผ่รัศมีออกไปกว้างไกล ทั่วทั้งเอเชียกระทั่งเป็นที่ปลาบปลื้มและเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ประชาชนของประเทศเพื่อนบ้านหลายๆประเทศอดใจที่จะจงรักภักดีไม่ได้





ขอบคุณข้อมูล

ประวัติศาสตร์เมืองเชียงตุง
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%87
เจ้าฟ้ารัตนะอินแถลง
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A5%E0%B8%87

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อ่านแล้วน้ำตาไหลขึ้นมา คงเป็นเพราะเรานึกถึงพระเจ้าอยู่หัว และการเมืองขณะนี้คนชั่วมีอำนาจนั่นเอง