วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

"ในหลวง"ท่ามกลางภยันตรายในสามจังหวัดชายแดนใต้


ปัตตานี ฝนยังคงตกหนัก ท้องฟ้ายังคงมืดมัว ฤาสัญญาณของฤดูน้ำหลากกำลังมาเยือนอย่างแท้จริง 

กรมอุตุนิยมวิทยาก็ประกาศเตือน ภาคใต้ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ฝนตกหนักและอาจมีน้ำท่วมฉับพลัน เราจะเชื่อหรือไม่ ก็ไม่ควรประมาทกับธรรมชาติ

เช้าวานนี้(๒๑ พฤศจิกายน ๒๒๕๕๔)หลังจากผู้เขียนเตรียมอาหารใส่บาตรพระภิกษุสงฆ์แล้ว ได้ยินเสียงตูมใหญ่คล้ายเสียงระเบิดเอ็ม๗๙ ที่เคยคุ้นเคยในเมืองหลวง ผู้เขียนกับน้าสบตากันเหมือนรู้นัย 
แต่ชั่วไม่กี่วินาทีก็ได้ยินเสียงฟ้าครืนครางตามมา เราจึงยิ้มพร้อมกัน..
โล่งอกไปทีคิดว่าเสียงระเบิดดังใกล้บ้านที่แท้ก็เสียงฟ้าร้อง 

และช่วงเวลาสายๆ ก็ทราบข่าวจากเพื่อนๆในออนไลน์และข่าวจากทีนิวส์ว่าเกิดระเบิดชุดคุ้มกันพระสงฆ์ขณะบิณฑบาตรบาดเจ็บ ๙ ราย ท่ามกลางฝนตกอย่างหนัก ผู้ก่อการร้ายก็ไม่หยุดพักหยุดนอนกันบ้างแล้วหรือไร ไม่เว้นแม่แต่พระสงฆ์ผู้ไม่เคยคิดผิดคิดร้ายกับผู้ใด โหดร้ายกับสังคมไทยมากเกินไปแล้ว

หลายๆคนเคยตั้งคำถามกับผู้เขียนถึงสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่บ้านเกิด ผู้เขียนเองเกิดและเติบโตที่นี่จริงอยู่แต่หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมแล้วออกจากพื้นที่..แม้ก่อนไปภาพความงดงามในสัมพันธภาพระหว่างความแตกต่างของคนไทยมุสลิมและไทยพุทธยังอยู่ในความทรงจำ
ก็มิอาจตอบได้ว่า..สาเหตุที่แท้จริง..คืออะไร?

สามจังหวัดชายแดนใต้นอกจากประชาชนอยู่กับความยากจนแล้วยังต้องอยู่
กับความหวาดกลัวมาเป็นเวลานาน

แต่ในความน่ากลัวอันตรายที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้น...ยังมีพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย 
ทรงบากบั่นเยี่ยมราษฎรของพระองค์ด้วยความลำบากโดยปราศจากความหวาดกลัว 
ทรงแก้ปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 

ผู้เขียนเคยเก็บเรื่องราวประทับใจจากเว็บไซด์เจ้าพระยานิวส์...


“รักถึงเพียงนี้” และ “จุดเทียนส่งเสด็จ”

  บทความชื่อ “แผ่นดินร่มเย็นที่นราธิวาส” ตีพิมพ์ในนิตยสาร “สู่อนาคต” 
ฉบับพิเศษเนื่องในวันเฉลิมฯ ได้เล่าย้อนให้เราได้เห็นภาพความยากลำบากในการเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทางภาคใต้เมื่อหลายปีก่อน โดยเฉพาะช่วงก่อนสร้างพระราชตำหนักทักษิณราชนิเวศน์นั้น เป็นที่รู้กันว่าจังหวัดนราธิวาสชุกชุมไปด้วยโจรร้าย โจรปล้นสะดมและพวกโจรเรียกค่าไถ่ ถึงขนาดที่ในหลายๆ หมู่บ้านนั้น แม้แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไป

  ทว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักในทุกข์อันลึกล้ำของชาวบ้านที่ทั้งทุกข์เพราะยากจน และทุกข์เพราะภัยคุกคาม จึงได้เสด็จฯ ลงไปเยี่ยมเยียนเป็นขวัญกำลังใจให้ราษฎรของพระองค์โดยไม่ทรงหวาดหวั่น บางวันถึงกับเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์โดยปราศจากกำลังอารักขา และบางหมู่บ้านตำรวจเพิ่งถูกคนร้ายแย่งปืนแล้วยิ่งตายก่อเสด็จไปถึงเพียงไม่ กี่ชั่วโมง
  ทรงรักราษฎรถึงเพียงนี้ จึงไม่แปลกที่หญิงชราคนหนึ่งในหมู่บ้านหนึ่งของอำเภอรือเสาะจะเข้ามาเกาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวร้องไห้แล้วบอกว่า 
“ไม่นึกเลยว่าพระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไทยชาวพุทธ จะมารักมุสลิมได้ถึงขนาดนี้…

  บทความเดียวกันได้เปิดเผยต่อไปอีกว่า ที่อีกหมู่บ้านหนึ่งในอำเภอเดียวกันนั้น โต๊ะครูได้พาพรรคพวกมายืนรอรับเสด็จแล้วพูดขึ้นว่า “..รายอกลับไปเถอะ ประไหมสุหรีกลับไปเถิด ประเดี๋ยวพวกโจรจะลงจากเขา…” 
 และเมื่อถึงเวลาเสด็จฯ กลับที่มืดสนิทอย่างน่ากลัว โต๊ะครูกับชาวบ้านก็พากันมาจุดเทียนส่งเสด็จตลอดเส้นทางอันตราย ด้วยความห่วงใยใน “รายอ” และ “ประไหมสุหรี” หรือ พระราชาพระราชินีของพวกเขาอย่างสุดซึ้ง 
.....................................................

เป็นบทความที่ทำให้เราได้เรียนรู้อดีต และชัดเจนว่าพระเจ้าอยู่หัวฯของคนไทยทั้งประเทศทรงงานอย่างหนักมาเป็นเวลานานหลายสิบปี

ณ ที่แห่งหนตำบลใดประชาชนอยู่อาศัยกันด้วยความยากลำบาก พระองค์มิทรงนิ่งเฉย 
ทรงช่วยเหลือ แก้ปัญหาให้ราษฎร โดยไม่หวั่นกลัว ไม่ท้อถอยต่อภยันตรายใดๆ 
ดังนั้นพระองค์จึงเป็นที่รักของราษฎรทั่วทั้งประเทศไม่ว่านับถือศาสนาพุทธ คริสต์หรืออิสลาม มีภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน






หลังจากเรียนจบแล้วเคยกลับมาทำงานอยู่กับหน่วยงานของราชการที่จังหวัดยะลา เคยได้สัมผัสความน่ากลัวจากเงาของบุคคลที่เราไม่รู้จัก ไม่เห็น อยู่บ้างพอสมควร และมักได้ยินคำตักเตือนจากหน่วยงานเองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเช่นตำรวจเสมอ ๆ

รถยนต์ใช้ออกพื้นที่ของหน่วยงานเราก็ไม่มีตราสัญลักษณ์เพราะไม่ต้องการให้เป็นที่สังเกตุ และถ้าจำเป็นต้องออกพื้นที่สีแดง(หมู่บ้านสุ่มเสี่ยงอันตราย) ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบเพื่อขอกำลังคุ้มกัน แต่ช่วงเวลานั้นสำหรับบัณฑิตจบใหม่ไฟแรง ทำงานด้วยอุดมการณ์แม้เราไม่ประมาทแต่ไม่เคยกลัวและกลับคิดอีกมุมว่าถ้าต้องมีตำรวจคุ้มกัน เราน่าจะปลอดภัยน้อยกว่า 
ดังนั้นเราจึงเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในหมู่บ้านพื้นที่สีแดงโดยไม่แจ้งหัวหน่วยงานเสมอๆ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นพอสมควร 
คนในหมู่บ้านแสดงความเป็นห่วงและแจ้งให้เราทราบว่าในหนึ่งสัปดาห์มีวันไหนบ้างที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายเข้าตลาดและสั่งห้ามคนในหมู่บ้านไปไหนมาไหน และอาจทำร้ายคนแปลกหน้าที่ผ่านเข้ามาในหมู่บ้าน แต่โดยส่วนใหญ่ชาวบ้านก็ยังอยู่กันอย่างสงบนานๆทีจะมีเรื่องร้ายๆให้อกสั่นขวัญหาย

ทุกวันนี้สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่เคยเป็น กลุ่มผู้ก่อการร้ายเป็นกลุ่มเดียวกับในอดีตหรือไม่ ผู้เขียนมิอาจตัดสินได้แต่กลุ่มที่ดำเนินการก่อความไม่สงบในปัจจุบันทำเกินกว่าเหตุและโหดร้ายเกินไป

เจ้าหน้าที่บ้านเมือง พ่อค้า ประชาชนผู้เกี่ยวข้อง ช่วยกันสอดส่อง ดูแลประชาชน ให้ได้อยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคี มีความสงบสุขและปลอดภัย
ผู้ก่อการดี หรือ ผู้ก่อการร้ายทั้งหลาย ได้โปรดหยุดทำร้ายบ้านเมือง หยุดทำร้ายประชาชนในพื้นที่ 
และทำความดี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระเจ้าอยู่หัวฯกันเถิด.


ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซด์เจ้าพระยานิวส์
ขอบคุณภาพในหลวงจากอินเตอร์เนต
ขอบคุณภาพมัสยิดจากต้นไผ่โฟโต้ ปัตตานี

ไม่มีความคิดเห็น: