วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แม้เพียงผงธุลีดิน


 ในนาทีนี้ ในช่วงเวลาที่น้ำท่วมเป็นวิกฤติของคนไทย เป็นความทุกข์ เป็นความเจ็บปวดและสูญเสีย คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการ..ให้ 

ประเทศไทย ไม่เคยแล้งน้ำใจจากคนไทยด้วยกัน ในยามประสบภัยเดือดร้อนพี่น้องไทยไม่เคยทอดทิ้งกัน ให้เครื่องอุปโภคบริโภค ให้อาหาร ให้เครื่องนุ่งห่ม ให้ที่อยู่อาศัย เป็นน้ำใจเป็นน้ำทิพย์เป็นกำลังใจให้กันและกัน

ส่วนตัวคิดว่าการให้นอกจากทำให้ผู้รับ และผู้ให้ต่างก็มีความสุข..แต่ใครจะสุขมากกว่าใคร 
ขึ้นอยู่กับผู้รับและศิลปะของผู้ให้หรือเปล่า? 

ไม่ว่า..ให้เป็นสิ่งของ 
ให้..ความรัก..ให้ความเอื้ออาทร ให้..ความช่วยเหลือ 
ให้กำลังใจ..ให้โอกาส..ให้ความหวังดี..หรือให้อภัย..ฯลฯ ถ้าให้จากใจ..ให้จากหัวใจ..ให้ด้วยความจริงใจ และสัมผัสได้จากใจถึงใจ..ผู้รับย่อมมีความสุข 

และมากกว่านั้น..ผู้ให้ย่อมรู้สึกมีความสุขมากกว่า.. 

ผู้เขียนเคยจดจำเรื่องราวของพระพุทธเจ้าจากหนังสือ
พุทธประวัติ คือเมฆสีขาว ทางก้าวเก่าแก่ เล่ม 3 ตอนธุลีดินล้ำค่าหนึ่งกำมือ 

เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์เสด็จดำเนินบิณฑบาตร พร้อมกับบรรดาสาวกไปในหมู่บ้าน 
ทรงพบเด็กๆจำนวนหนึ่ง กำลังเล่นสร้างเมือง สร้างกำแพง บ้านเรือน ยุ้งฉาง ด้วยฝุ่นดิน 
เมื่อเด็กๆแลเห็นพระพุทธเจ้าและบรรดาภิกษุ กำลังผ่านมาเด็กๆบอกพรรคพวกว่า

"พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ กำลังผ่านบ้านเมืองของเรา จึงสมควรที่เราจะช่วยกันตักบาตร"

เด็กๆเห็นด้วยแต่มีคนหนึ่งท้วงขึ้นมาว่า

"เราจะเอาของอะไรใส่บาตร พระพุทธเจ้าดีล่ะ พวกเราเป็นเด็กๆทั้งนั้น" 

เด็กคนต้นคิดตอบว่า

"ฟังนะเพื่อน มีข้าวเก็บไว้ในยุ้งฉางมากมาย ในเมืองดินทรายของเรา เราสามารถนำข้าวเหล่านี้มาถวาย พระพุทธเจ้าได้"

เพื่อนๆของเด็กๆพากันปรบมือเห็นด้วยกับความคิดนี้ พวกเขาช่วยกันขุดฝุ่นดินจากยุ้งฉางมาหนึ่งกำมือ แล้วสมมติว่าเป็นข้าว นำวางลงบนใบไม้ 
เด็กคนแรกใช้สองมือประคองใบไม้ห่อมูลดินแล้วคุกเข่าลงเบื้องพระพักตร์
พระพุทธเจ้าอย่างนอบน้อม
เด็กคนอื่นๆ คุกเข่าลงข้างๆ เด็กคนแรกกล่าวว่า

"ชาวเมืองของเรา ขอน้อมถวาย ข้าวจากยุ้งฉางของเรา ขอพระองค์ทรงรับเถิด" 

พระพุทธองค์ทรงแย้มพระสรวล พลางลูบศรีษะเด็กคนนั้นและตรัสว่า 

"ขอบใจ เด็กๆทั้งหลาย ที่ได้ถวายข้าวอันล้ำค่าแก่เรา พวกหนูช่างมี น้ำใจอารีเสียเหลือเกิน" 

พระพุทธเจ้าทรงหันไปทางพระอานนท์ ตรัสว่า

"อานนท์ จงนำของถวายนี้เก็บไว้ เมื่อกลับถึงวัดแล้ว จงเอาธุลีดินนี้ผสมกับน้ำแล้วพอกดินเปียก
ลงบนอิฐดินผนังพระวิหารของเรา" .

ผู้เขียนได้แลเห็นถึงความตั้งใจ..ให้...ของเด็กๆ
พวกเขาปรารถนาที่จะให้..ด้วยหัวใจ  ทั้งๆที่ไม่มีอะไรนอกจาก ฝุ่นดินที่เล่นสร้างบ้านสร้างเมืองกันเท่านั้น..และความตั้งใจซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแลเห็น..และพระพุทธเจ้า..ทรงรับบิณฑบาตร 
ด้วยจิตเมตตาทั้งที่..สิ่งที่เด็กๆน้อมถวายเป็นเพียงผงธุลีและไม่เพียงเท่านั้น..ท่านยังตรัสกับพระอานนท์ให้เก็บผงธุลี กลับไปผสมกับน้ำเพื่อสร้างผนังวิหาร..

พระพุทธองค์ทรงให้ค่า ให้ความหมายและความสำคัญของผงธุลีดิน..มากมายปานนั้น 
และย้อนกลับมาคิดถึงความรู้สึกของเด็กๆเถิด..จะรู้สึกมีความสุข ปลื้มปิติมากเพียงใด 

แม้เพียงผงธุลีดิน..แต่เมื่อผู้รับให้ค่าและความหมายกับสิ่งนั้นๆ 
ผู้ให้..ย่อมรู้สึกมีความสุขใจมากกว่า..แม้การให้ไม่ได้หวังผล ตอบแทนใดๆ ก็ตามที

และเราเอง หรือคุณ หรือใครๆได้ให้ค่าและความหมายกับสิ่งเล็กสิ่งน้อย 
หรือแม้เพียงความช่วยเหลือจากใครสักคนในบางเรื่องราว ในบางเวลา 
หรือการให้กำลังใจเพียงคำพูดไม่กี่คำ ให้โอกาสและเวลา 
ให้ความห่วงใย..หรือให้อภัยในคราวที่เราผิดพลาด 

จากใครๆ รอบข้างทั้งที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย ทั้งคนใกล้ชิด 
หรือคนห่างๆ ใจ ทั้งคนที่ชอบ..และคนที่เราไม่ชอบใจ 
กันบ้างไหม?.. 

แม้เพียงผงธุลีดิน..ก็มีค่าและความหมายทั้ง..ในใจผู้ให้และผู้รับ

ขอบคุณ...ภาพจากอินเตอร์เน็ต
เรื่องราว...warintirak ดัดแปลง แก้ไขจากบทความเดิม Mblog
เรื่องราวอ้างอิง...พุทธประวัติ คือเมฆสีขาว ทางก้าวเก่าแก่ เล่ม 3 ตอนธุลีดินล้ำค่าหนึ่งกำมือ
แปลโดย..คุณ รสนา โตสิตระกูล และ คุณสันติสุข  โสภณสิริ

ไม่มีความคิดเห็น: